
นักลงทุนขานรับข่าวผลการเจรจารอบแรกระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่นครเจนีวาของสวิตเซอร์แลนด์ช่วงสุดสัปดาห์ ทำให้ดัชนีดาวโจนส์ ปรับขึ้นกว่า 2%, ดัชนีเอสแอนด์พี500 พุ่งขึ้นเกือบ 3% และดัชนีแนสแด็ก คอมโพสิต ทะยานขึ้นกว่า 3.5% ระหว่างการซื้อขายภาคบ่ายในตลาดเอเชียในวันจันทร์ (12 พฤษภาคม) และตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน โดยดัชนีฮั่งเส็ง ปิดตลาดสูงขึ้นเกือบ 3% ส่วนเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และราคาน้ำมันดิบเบรนต์ปรับขึ้นกว่า 3% แต่ราคาทองลดลง 3% หลังนักลงทุนมั่นใจในตลาดหุ้นมากขึ้น
คณะเจรจาของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของสกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลัง และคณะเจรจาของจีนนำโดยเหอ ลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรี ออกแถลงการณ์ร่วมกันในวันจันทร์ (12 พฤษภาคม) ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือที่นครเจนีวาของสวิตเซอร์แลนด์นาน 2 วัน ช่วงสุดสัปดาห์ โดยระบุว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงลดภาษีศุลกากรในช่วงแรกนาน 90 วัน และจะเริ่มมีผลในวันที่ 14 พฤษภาคม
ภายใต้ข้อตกลงนี้สหรัฐฯ จะลดภาษีต่อสินค้าจีน 115% จากเดิม 145% จะทำให้เหลือ 30% และจีนจะลดภาษีสำหรับสินค้าสหรัฐฯ จาก 125% เหลือ 10% และจีนจะระงับหรือยกเลิกมาตรการตอบโต้ที่ไม่ใช่ภาษีด้วย
เบสเซนต์แถลงว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่าไม่ต้องการการแยกห่วงโซ่อุปทานระหว่างสหรัฐฯ และจีน และต้องการการค้าที่มีความสมดุลมากขึ้น ซึ่งสองฝ่ายให้คำมั่นเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ และสหรัฐฯ หวังว่าจีนจะเปิดตลาดให้กับสินค้าสหรัฐฯ มากขึ้น
นอกจากนี้แถลงการณ์ร่วมระบุว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องตั้งกลไกเพื่อสานต่อการเจรจาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าต่อไป โดยหัวหน้าเจรจาของจีนยังคงเป็นรองนายกรัฐมนตรีเหอ และเบสเซนต์และเจมีสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าจะนำทีมเจรจาของสหรัฐฯ และการเจรจาอาจจัดขึ้นในจีน และสหรัฐฯ หรือประเทศที่สาม ตามแต่ตกลงกันของสองฝ่าย
ดร.เอ็นโกซี โอคอนโจ อิเวียลา ผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก ออกแถลงการณ์แสดงความยินดีกับผลการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่เธอระบุว่าเป็นก้าวสำคัญ และเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับอนาคตข้างหน้า ก่อนหน้านี้ WTO เคยเตือนว่า หากเศรษฐกิจโลกแบ่งเป็น 2 ขั้ว อาจทำให้มูลค่าจีดีพีของทั้งโลกลดลงในระยะยาวเกือบ 7%
ขณะที่นักวิเคราะห์เตือนไม่ให้มองในแง่บวกเกินไป แม้ว่าบรรยากาศสงครามการค้าคลี่คลายลงอย่างมาก โดยบอกว่า ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่า การพักรบชั่วคราว จะนำไปสู่การหยุดยิงยาวนาน