สำนักงานศุลกากรจีน เผยข้อมูลในวันศุกร์ (9 พฤษภาคม) ว่า มูลค่าการค้าของจีนกับต่างประเทศในเดือนเมษายนอยู่ที่ 3.84 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้น 5.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเฉพาะยอดการส่งออกเพิ่มขึ้น 9.3% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็น 2.27 ล้านล้านหยวน และยอดนำเข้าเพิ่มขึ้น 0.8% เป็น 1.57 ล้านล้านหยวน
ขณะที่สื่อต่างชาติ รายงานว่า ยอดส่งออกของจีนไปตลาดสหรัฐฯ ในเดือนเมษายนอยู่ที่ 33,000 ล้านดอลลาร์ ลดลง 21% จาก 41,800 ล้านดอลลาร์ในเดือนเมษายน 2567 ขณะที่ยอดส่งออกทั้งหมดของจีนเพิ่มขึ้น 8.1% ตามค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากเกินกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ โดยจีนมีมูลค่าการส่งออกไปตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และยุโรปเพิ่มขึ้น 21% และ 8% ตามลำดับ
ตัวเลขการค้าดังกล่าวสะท้อนถึงผลกระทบสำคัญของสงครามภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจจีน และความพยายามของจีนในการแสวงหาตลาดอื่นทดแทนสหรัฐฯ
นอกจากนี้ยอดเกินดุลการค้าของจีนต่อสหรัฐฯ ลดลงเป็น 20,500 ล้านดอลลาร์ในเดือนเมษายนจาก 27,600 ล้านดอลลาร์ในเดือนมีนาคม ซึ่งทรัมป์อาจถือเป็นชัยชนะสำหรับความพยายามทำสงครามการค้าครั้งนี้เพื่อลดตัวเลขขาดดุลการค้า
อย่างไรก็ตามการที่ทรัมป์ขึ้นภาษีสินค้าจีนเป็น 145% และจีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ เป็น 125% ทำให้เศรษฐกิจของทั้งสองมหาอำนาจต่างได้รับผลกระทบ และผู้นำสองฝ่ายกำลังพยายามเจรจาเพื่อคลี่คลายสงครามการค้า
คณะผู้แทนระดับสูงจากทั้งสหรัฐฯ และจีน เตรียมพบกันครั้งแรกที่นครเจนีวาของสวิตเซอร์แลนด์ระหว่างวันที่ 9-12 พฤษภาคม เพื่อคลี่คลายสงครามการค้า แต่สกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ที่จะร่วมการเจรจา เตือนด้วยว่า น่าจะยังไม่มีการบรรลุข้อตกลงการค้าในการเจรจาครั้งแรกนี้ และหวังเพียงลดความขัดแย้ง
ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี โดยส่งสัญญาณว่า เขาอาจลดภาษีสินค้าจีน หากผลการเจรจาออกมาดี และคิดว่า การพบปะจะดำเนินด้วยมิตรไมตรีที่ดีมาก เขาเชื่อว่าจีนต้องการบรรลุข้อตกลงมาก ๆ และหวังว่าจีนจะเปิดตลาดมากขึ้น นอกจากนี้เมื่อผู้สื่อข่าวซักถามว่า เขาจะโทรศัพท์หาประธานาธิบดีสี จิ้นผิง หลังการเจรจาของสองฝ่ายหรือไม่ เขาบอกว่า น่าจะ แน่นอน
ความเห็นของทรัมป์มีขึ้นหลังจากเขาและนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ ของอังกฤษ เพิ่งประกาศบรรลุข้อตกลงการค้าร่วมกัน ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ พยายามชูว่าเป็นข้อตกลงการค้าฉบับแรกในรัฐบาลทรัมป์ แต่นักวิเคราะห์ มองว่า ยังไม่อาจเรียกว่า “ข้อตกลง” โดยน่าจะเป็นบันทึกความเข้าใจ หรือกรอบของการเจรจาที่ยังอาจใช้เวลาอีกหลายเดือนหรือหลายปีกว่าจะบรรลุข้อตกลงที่แท้จริง
อย่างไรก็ตามการตกลงครั้งนี้ยังอาจมองได้ว่าเป็นชัยชนะของทรัมป์ ที่ทำให้อังกฤษเปิดตลาดให้กับสินค้าสหรัฐฯ มากขึ้น ขณะเดียวกันข้อตกลงที่ทำให้อังกฤษได้รับการยกเลิกและลดภาษีศุกลากร ก็ทำให้ผู้นำชาติอื่น ๆ มีความหวังว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงกับทรัมป์