
ได้มีการเผยแพร่ภาพของอาคารที่ทรุดตัวหรือพังถล่ม จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 7.8 เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ล้วนแล้วแต่เป็นอาคารที่อยู่ในสภาพใหม่ และ ที่น่าตกใจก็คืออาคารเหล่านี้ "ไม่มีเสาเข็ม" แม้แต่ต้นเดียว ทั้งที่เป็นที่ทราบกันดีว่าเสาเข็มเป็นองค์ประกอบส่วนสำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของอาคาร โดยทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการถ่ายเทน้ำหนักของตัวอาคารลงสู่พื้นดิน แต่บรรดาอาคารของตุรกีที่พังถล่มหรือทรุด มีสภาพไม่ต่างจากการเอากล่องคอนกรีตไปตั้งไว้เฉย ๆ จึงไม่แปลกที่จะไม่สามารถต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวได้
ยิ่งเห็นสภาพอาคารก็ยิ่งสร้างความไม่พอใจของสาธารณชน ว่าถ้าอาคารได้มาตรฐานกว่านี้ตัวเลขคนเสียชีวิตอาจจะไม่สูงขนาดนี้ และในขณะที่ตุรกีมีความเสี่ยงที่จะเผชิญแผ่นดินไหวพอ ๆ กับญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นกลับปลอดภัยกว่าแม้บางครั้งผู้คนจะอยู่บนอาคารสูง ด้วยเพราะญี่ปุ่นมีมาตรฐานและเทคโนโลยีในการรับมือที่เข้มข้น ตั้งแต่การเสริมความแข็งแกร่งของตัวอาคารไปจนถึงการตั้งอาคารบนฐานรับแรงสั่นสะเทือน (shock absorber) เพื่อแยกตัวอาคารออกจากการสั่นสะเทือนของแผ่นดิน
สำหรับประเทศที่เผชิญแผ่นดินไหวอยู่บ่อยครั้ง อาคารที่สร้างใหม่มักจะมีความทนทานต่อความรุนแรงของแผ่นไหวขนาด 7.5-7.8 ภายใต้ข้อบังคับการก่อสร้างอาคาร (building regulations) ซึ่งตุรกีก็มีข้อบังคับนี้หลังเผชิญแผ่นดินไหวครั้งก่อนที่มีคนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และเป็นที่น่าตกใจว่าอาคารจำนวนมากที่พังถล่มในแผ่นดินไหวครั้งนี้เพิ่งจะสร้างเสร็จเมื่อปี 2562
นอกจากผู้ก่อสร้างอาคารที่เห็นแก่ได้ไม่ยอมปฏิบัติตามกฎเกณฑ์แล้ว รัฐบาลก็มีส่วนผิดเต็ม ๆ ที่ออก "นิรโทษกรรมด้านการก่อสร้าง" (construction amnesties) ที่นำไปสู่การยกเว้นให้อาคารที่สร้างโดยไม่มีการรับรองด้านความปลอดภัยไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม ซึ่งที่จริงการทำแบบนี้มีมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 60 และล่าสุดในปี 2561 และจากข้อมูลของสหภาพหอการค้าวิศวกรและสถาปนิกตุรกี (Union of Chambers of Turkish Engineers and Architects' Chamber of City Planners) ระบุว่าอาคารที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวทางตอนใตัของตุรกีทั้งหมดราว 75,000 หลัง ล้วนเป็นผลพวงจากนิรโทษกรรมด้านการก่อสร้างทั้งสิ้น แต่ถ้าไปดูรายงานของกระทรวงสิ่งแวดล้อมและความเป็นเมืองของตุรกีจะพบข้อมูลที่น่าตกใจยิ่งกว่า คือ เมื่อปี 2018 มีอาคารมากกว่า 50% หรือเกือบ 13 ล้านหลัง สร้างขึ้นมาโดยไม่ปฏิบัติตามมาตรฐาน
นอกจากอาคารในเมืองที่ไม่ได้มาตรฐานแล้ว ยังมีปัญหาสิ่งปลูกสร้างตามชนบทที่ห่างไกลที่ใช้อิฐและหินเป็นรากฐาน ซึ่งยิ่งอันตรายเพราะไม่มีทางที่จะต้านทานแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้เลย