หนึ่งในอดีตพนักงานที่ถูกปลดกะทันหันได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวข่าวรอยเตอร์ ระบุว่าตัวเขาชื่อ ไซม่อน บัลแมง เคยดำรงตำแหน่งผู้จัดการชุมชนอาวุโสของทวิตเตอร์ และเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับอีเมลล์เลิกจ้างจากอีลอน มัสก์
บัลแมงเปิดเผยว่า ก่อนหน้าเหตุการณ์สั่งปลดเพียงไม่นาน พนักงานทุกคนได้รับแจ้งว่าให้เฝ้ารอการรับจดหมายแจ้งที่ระบุว่าพวกเขาจะได้ไปต่อหรือไม่ ซึ่งอาจส่งเข้ามาทางอีเมลล์ของบริษัทหรืออีเมลล์ส่วนตัว ภายในเวลา 09.00 น. ของวันศุกร์ที่ 4 พ.ย. ตามเวลาท้องถิ่น ขณะที่สำนักงานของทวิตเตอร์ถูกปิดชั่วคราวเพื่อป้องกันความพยายามขโมยข้อมูลหรือสร้างความปั่นป่วนในระหว่างกระบวนการดังกล่าว
ต่อมาเขาได้รับอีเมลล์เลิกจ้างตามเวลาที่ระบุ และตั้งใจจะสังเกตุการณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปหลังจากนี้ ปรากฏว่าภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงหลังรับจดหมายเลิกจ้าง คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คสำหรับทำงานของเขาถูกรีโมทสั่งล้างข้อมูลทั้งหมดจากระยะไกล และบัญชีกูเกิ้ล รวมถึงบัญชีสแล็ค (slack) ที่ใช้สื่อสารภายในบริษัทก็ถูกเพิกถอนการเข้าถึงทันที นั่นหมายความว่าเขาจะหมดสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลการทำงานของบริษัททวิตเตอร์อีกต่อไป
ขณะที่พนักงานส่วนหนึ่งได้ยื่นฟ้องตั้งแต่วันพฤหัสบดี โดยอ้างว่าบริษัทกำลังดำเนินการปลดพนักงานจำนวนมากโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้าเป็นเวลา 60 วัน ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายของรัฐบาลกลางและแคลิฟอร์เนีย อย่างไรก็ตาม มัสก์ดูจะไม่ได้แยแสกับข้อกฎหมายดังกล่าว
แดเนียล อีฟ นักวิเคราะห์จากบริษัทด้านการลงทุนของเอกชน เวดบุช ซีคิวริตี้ ประเมินว่า การบริหารทวิตเตอร์กำลังจะกลายเป็นอุปสรรคระดับเดียวกับการปีนป่ายยอดเขาเอเวอร์เรสสำหรับมัสก์ ซึ่งประกาศว่าจะทำให้ทวิตเตอร์เป็นพื้นที่เสรีในการแสดงความเห็น หรือ Free Speech แต่ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาสมดุลของรายได้ หลังบริษัทผู้โฆษณารายใหญ่ต่างพากันถอนตัวและหยุดการซื้อโฆษณาแทบจะทันทีหลังมัสก์ซื้อกิจการทวิตเตอร์สำเร็จ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า "การซื้อทวิตเตอร์เป็นเรื่องง่าย แต่แก้ไขมันคือเรื่องยาก"