svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

นักวิเคราะห์เผย ค่าเงินบาทเช้านี้ “อ่อนค่า” ที่ระดับ 36.67 บาทต่อดอลลาร์

15 กันยายน 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

เงินบาท “อ่อนค่า” เงินดอลลาร์เผชิญแรงกดดันจากการพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินเยน สู่ระดับ 142.8 เยนต่อดอลลาร์ จากระดับเกือบ 145 เยนต่อดอลลาร์ ในวันก่อนหน้า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 36.67 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ 36.61 บาทต่อดอลลาร์

อีกหนึ่งบทความที่น่าสนใจ หยิบยกมาจาก เพจฐานเศรษฐกิจ ที่ลงไว้เมื่อช่วงเช้า อีกความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ในวันนี้อ่อนค่าลง โดยล่าสุดทางด้าน นายพูน  พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบเดิมต่อ จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามา โดยในช่วงนี้

 

ประเด็นสำคัญที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตา คือ แนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ซึ่งตลาดจะรอลุ้นว่าเฟดจะมีการปรับคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือ Dot Plot รวมถึงเฟดจะมีการปรับมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างไรบ้าง

 

ทั้งนี้ เราประเมินว่า หากตลาดไม่ได้ปิดรับความเสี่ยงรุนแรง (ซึ่งอาจมาจากความกังวลปัญหาเศรษฐกิจจีนหรือภาพการ Lockdown เพิ่มเติมในจีน รวมถึงความกังวลวิกฤตพลังงานในยุโรป) เงินบาทก็อาจไม่ได้อ่อนค่าต่อเนื่องไปมาก โดยแนวต้านของเงินบาทจะยังคงอยู่ในช่วง 36.75-36.80 บาทต่อดอลลาร์

เนื่องจากผู้ส่งออกจำนวนมากอาจรอทยอยขายเงินดอลลาร์ในระดับดังกล่าว นอกจากนี้ แรงขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติก็ไม่ได้รุนแรงมากนัก ตามที่เราเคยคาดการณ์ไว้ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติบางส่วนก็ทยอยกลับเข้ามาซื้อบอนด์ระยะยาวไทยมากขึ้น หลังบอนด์ยีลด์มีการปรับตัวสูงขึ้น ทำให้เงินบาทอาจไม่ได้เผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากแนวโน้มฟันด์โฟลว์ไหลออกอย่างที่ตลาดเคยกังวลก่อนหน้า

อนึ่ง เราคงมองว่า โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะราคาย่อตัวอาจยังคงเป็นแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทได้ จนกว่าที่ราคาทองคำจะสามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องใกล้โซนแนวต้าน 1,740-1,750 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็จะเริ่มมีโฟลว์ขายทำกำไร ซึ่งก็จะเป็นปัจจัยที่จะช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินบาทได้เช่นกัน

..

ในช่วงที่ตลาดการเงินผันผวนสูงจากความไม่แน่นอนของหลายปัจจัย เราคงแนะนำให้ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก

 

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.55-36.80 บาท/ดอลลาร์

นักวิเคราะห์เผย ค่าเงินบาทเช้านี้ “อ่อนค่า” ที่ระดับ 36.67 บาทต่อดอลลาร์

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ รีบาวด์ขึ้นเล็กน้อย โดยดัชนี S&P500 สามารถปิดตลาด +0.34% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq รีบาวด์ขึ้นราว +0.74% ตามแรงซื้อหุ้นในจังหวะย่อตัวของบรรดาผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะแรงซื้อหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth (Tesla +3.6%, Amazon +1.4%)

 

อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจแกว่งตัว sideways เนื่องจากผู้เล่นส่วนใหญ่ยังคงไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก ท่ามกลางความกังวลว่า เฟดอาจต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงต่อเนื่องเพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ โดยล่าสุด จาก CME FedWatch Tool ตลาดยังคงมองว่า เฟดมีโอกาสราว 25% ที่จะเร่งขึ้นดอกเบี้ยถึง +1.00% ในการประชุมเดือนกันยายน และตลาดยังมองอีกว่าเฟดอาจเร่งขึ้นดอกเบี้ยจนแตะระดับ 4.50% ภายในสิ้นปีนี้

 

ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องราว -0.86% ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และแนวโน้มที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ก็อาจต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง เพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อเช่นกัน

 

อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ TotalEnergies +2.5%, Equinor +1.5% หลังราคาน้ำมันดิบทยอยปรับตัวขึ้น (ราคาน้ำมันดิบ WTI รีบาวด์ขึ้นใกล้ระดับ 89 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล) หลังสำนักงานพลังงานสากล IEA ประเมินว่า อาจมีความต้องการใช้น้ำมันเพื่อทดแทนแก๊สธรรมชาติมากขึ้นในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงนี้

 

ส่วนทางด้านตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงแกว่งตัว sideways ใกล้ระดับ 3.40% โดยผู้เล่นบางส่วนอาจรอจังหวะที่บอนด์ยีลด์ระยะยาวปรับตัวขึ้น เพื่อเข้าซื้อ ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง กลับสู่จุดสูงสุดก่อนหน้าแถว 3.50% ได้ โดยส่วนหนึ่งอาจมาจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คาดว่า การเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอาจยิ่งเพิ่มความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงหนักและเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีหน้า

 

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวนเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) แกว่งตัวใกล้ระดับ 109.66 จุด โดยแรงหนุนเงินดอลลาร์นั้นยังคงมาจากแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด รวมถึงความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven)

 

อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์เผชิญแรงกดดันจากการพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) สู่ระดับ 142.8 เยนต่อดอลลาร์ (จากระดับเกือบ 145 เยนต่อดอลลาร์ ในวันก่อนหน้า) หลังผู้เล่นในตลาดมองว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อาจเข้ามาแทรกแซงตลาดค่าเงิน

 

อนึ่ง แนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟดยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันให้ ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ เราคาดว่า ผู้เล่นในตลาดอาจทยอยเข้ามาซื้อทองคำในโซนแนวรับมากขึ้น จากมุมมองที่คาดว่าเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้น ซึ่งแรงซื้อดังกล่าวอาจช่วยพยุงให้ราคาทองคำสามารถทรงตัวเหนือระดับ 1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้

 

สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ในเดือนสิงหาคม โดยตลาดมองว่า ยอดค้าปลีกพื้นฐาน (Core Retail Sales) ซึ่งหักยอดขายรถยนต์ น้ำมัน วัสดุก่อสร้าง และอาหาร อาจขยายตัวกว่า +0.8%m/m ในเดือนสิงหาคม สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นในเดือนสิงหาคม และยังสะท้อนว่าภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจไม่ได้แย่มากนัก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะยุโรป

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 36.63-36.65 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 36.61 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทเคลื่อนไหวเป็นกรอบในช่วงเช้าวันนี้ แต่อาจจะยังมีแรงกดดันด้านอ่อนค่าในระหว่างวัน ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ยังมีแรงประคองจากการปรับขึ้นของบอนด์ยีลด์ระยะสั้นของสหรัฐฯ เนื่องจากตลาดกลับมาประเมินความเป็นไปได้ที่เฟดจะเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสกัดเงินเฟ้อ

 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 36.55-36.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามน่าจะอยู่ที่ทิศทางฟันด์โฟลว์ รวมถึงสถานการณ์ค่าเงินเยนหลังจากมีสัญญาณซึ่งทำให้ตลาดตีความว่า ทางการญี่ปุ่นอาจเตรียมเข้าดูแลค่าเงินเยนไม่ให้อ่อนค่าเร็วเกินไป

 

ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะรายงานในคืนนี้ ประกอบด้วย ยอดค้าปลีก ดัชนีราคานำเข้า/ราคาส่งออก และข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค. ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์กเดือนก.ย. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

นักวิเคราะห์เผย ค่าเงินบาทเช้านี้ “อ่อนค่า” ที่ระดับ 36.67 บาทต่อดอลลาร์

ขอขอบคุณที่มา ฐานเศรษฐกิจ

 

logoline