
25 ตุลาคม 2568 จากกรณี นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามการอาชญากรรมทางเทคโนโลยี มาตรา 13 ครั้งที่ 6/2568 ร่วมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือการดำเนินงานตามนโยบายของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่กำหนดให้การปราบปรามภัยออนไลน์ เป็นวาระแห่งชาติ และมีคำสั่งให้ คกก.ตามมาตรา 13 ใช้ยาแรง อัดแผนเชิงรุก ลุยปราบโจรออนไลน์อย่างเป็นรูปธรรม ประสาน กสทช.-ธปท.จัดเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์บริหารเหตุการณ์
พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) กล่าวว่า ได้รับมอบหมายหน้าที่จาก ผบ.ตร.ให้ดูเรื่องสแกมเมอร์ และได้หารือร่วมกับ นายไชยชนก มีความเห็นร่วมกันว่า จะตั้งใจเต็มที่ในการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศไหนก็แล้วแต่ รวมถึงเรื่องการตัดวงจรการทำงานของสแกมเมอร์ ทั้งในประเทศและนอกประเทศ
มีความมั่นใจว่า จะทำให้มันดีขึ้นได้ โดยคิดว่าตัวชี้วัดจะดูจากปริมาณเคสที่เกิดใหม่ในแต่ละวัน ตอนนี้อยู่ประมาณ 1,000 เศษๆ เราจะยันกันด้วยข้อมูลว่า มันจะต้องลดลงไม่มากก็น้อย แต่ตั้งใจจะให้ลดมากที่สุด
ทั้งนี้ หากพบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ เกี่ยวข้องกับเรื่องผิดกฎหมาย จะต้องนำดำเนินคดีตามกฎหมายแน่นอน ยืนยันว่าทางตำรวจไทย และกระทรวงดีอี ดำเนินการเต็มที่
รวมถึงตอนนี้มีกระแสบอกว่า แก๊งสแกมเมอร์ไหลเข้าประเทศไทย พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า แก๊งสแกมเมอร์ มันก็สามารถเช่าห้องเล็กๆ หรืออะไรต่างๆ แต่ว่าในไทยเรามีการจับกุมตลอด ลองถามเจ้าหน้าที่ตำรวจของต่างประเทศได้ หากประสานมาที่ไทย จะดำเนินการเต็มที่ ต่างจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่เรามีการประสานข้อมูลไปแล้ว แต่เค้าไม่ดำเนินการสืบสวนจับกุม นั่นทำให้เค้ามีสแกมเมอร์ที่ใหญ่ และสามารถอยู่ได้อย่างยั่งยืน
หากพบแหล่งสแกมเมอร์ใหญ่ๆ ในไทย อาจหมายถึงว่า เจ้าหน้าที่มีผลประโยชน์กับเขา แต่ถ้าแอบซ่อนจุดเล็กๆ ก็ต้องเข้าใจว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ไม่สามารถรู้ได้ทุกราย แต่เมื่อได้รับแจ้งหรือมีเบาะแส ยืนยันว่า เราจะยืนยันจับกุมชัดเจนทุกกรณี