svasdssvasds
เนชั่นทีวี

อาชญากรรม

อายัดทรัพย์แก๊ง “ก๊กอาน” 1,100 ล้าน ประสานอินเตอร์โพล ออกหมายแดง

อายัดทรัพย์แก๊ง “ก๊กอาน” 1,100 ล้าน เร่งประสานอินเตอร์โพล ออกหมายแดงตามจับตัว ตร.เผยสถานการณ์แก๊งคอลฯ ในประเทศเพื่อนบ้านยังน่าห่วง

10 กรกฎาคม 2568 ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) และหัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจ UNODC ต่อต้านอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์ และการค้ามนุษย์ เปิดเผยสถานการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ยังคงปักหลักในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งกัมพูชา เมียนมา และลาว โดยใช้ประเทศไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการเดินทางผ่าน เพื่อลักลอบข้ามแดนไปทำงาน หรือหลอกลวงทั้งคนไทยและชาวต่างชาติให้เข้าไปทำงานในแก๊งเหล่านี้

อายัดทรัพย์แก๊ง “ก๊กอาน” 1,100 ล้าน ประสานอินเตอร์โพล ออกหมายแดง

พล.ต.อ.ธัชชัย ระบุว่า จากมาตรการตัดไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต และน้ำมันในเมียนมา ได้ส่งผลให้มีการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ครั้งใหญ่ในเขตเมืองชเวโก๊กโก๋ และเคเคพาร์ค ซึ่งตรวจพบผู้เสียหายถึง 36 สัญชาติ รวม 8,893 ราย อย่างไรก็ตาม ยังคงมีกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลบซ่อนอยู่ทางตอนใต้ของเมืองเมียวดี

สำหรับประเทศกัมพูชา พบการขยายตัวของแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างมากถึง 52 จุด ใน 10 จังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่ปอยเปต และแนวชายแดนติดเวียดนาม ซึ่งส่วนใหญ่บริหารโดยชาวจีนและได้รับการคุ้มครองจากผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ขณะเดียวกัน พบการเคลื่อนย้ายของแก๊งคอลเซ็นเตอร์บางส่วนจากกัมพูชาเข้ามาในประเทศไทย เพื่อหลอกลวงคนต่างชาติ อาทิ ชาวออสเตรเลีย เวียดนาม เกาหลี และจีน ซึ่งทางการไทยสามารถกวาดล้างจับกุมได้

ศปอส.ตร. ได้ร่วมกับ ฉก.88 และ UNODC กำหนดยุทธศาสตร์ "ผนึกกำลังประชาคมโลก ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์" ภายใต้แนวคิด "I2L AI" ซึ่งประกอบด้วย 5 ด้านหลัก

  1. ทำลายโครงสร้างพื้นฐาน ตัดไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตของอาคารที่เป็นฐานปฏิบัติการ
  2. ตัดเครือข่ายนำพา ปิดกั้นเพจโฆษณาจัดหางาน, เพจหาบัญชีม้าและคริปโต รวมถึงกลุ่มนำพาข้ามแดน
  3. บังคับใช้กฎหมายและยึดทรัพย์ มุ่งเป้าที่เจ้าของอาคาร ผู้บงการ ผู้บริหารจัดการ และผู้ให้ความคุ้มครอง
  4. ใช้ AI ควบคุมป้องกัน นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาสกัดกั้นการใช้ไทยเป็นทางผ่านหรือหลอกลวงข้ามแดน
  5. ผนึกกำลังประชาคมโลก จัดตั้งศูนย์บริหารฉับพลันเหตุการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และค้ามนุษย์ (War Room) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติไทย โดยมีองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UNODC, INTERPOL, และ FBI ร่วมเป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและปฏิบัติการร่วมกัน คาดว่ายุทธศาสตร์นี้จะเห็นผลความคืบหน้าภายใน 3 เดือน

พร้อมกันนี้ พล.ต.อ.ธัชชัย ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีเครือข่าย "ก๊ก อาน" ซึ่งจากการเข้าค้น 20 จุดใน 3 จังหวัด (กรุงเทพฯ สมุทรปราการ ชลบุรี) สามารถอายัดเงินสด 27 ล้านบาท รถยนต์หรู และเอกสารสำคัญ รวมมูลค่ายึดทรัพย์กว่า 1,100 ล้านบาท พร้อมเตรียมออกหมายจับผู้มีส่วนร่วมทั้งหมด และจะดำเนินการยึดทรัพย์เพิ่มเติมทั้งในและนอกประเทศ

พล.ต.อ.ธัชชัย ยืนยันว่า ตำรวจไทยมีพยานหลักฐานชัดเจน รวมถึงหลักฐานจาก FBI ประกอบการออกหมายศาล เชื่อได้ว่า “ก๊ก อาน” เป็นเจ้าของอาคารหลายแห่งที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งขณะนี้ยังไม่พบตัวในประเทศไทย และอยู่ระหว่างการประสาน INTERPOL เพื่อออกหมายแดงและติดตามจับกุมตัว

ส่วนกรณีการมีส่วนเกี่ยวข้องของข้าราชการไทย หรือความสัมพันธ์ของ ก๊ก อาน กับนักการเมืองในประเทศไทยนั้น ยังอยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผล

สำหรับบริษัท ฮุยวัน ที่เป็นบริษัทแลกเปลี่ยนเงินคริปโต และถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้บริการ พล.ต.อ.ธัชชัย ระบุว่าถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำในฐานะบริษัทที่ใช้ในการฟอกเงิน ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการทำคดีของตำรวจไทย

จากการหารือกับ INTERPOL เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ได้มีการวางแผนยุทธศาสตร์ร่วมกันในการจัดการปัญหานี้ โดย 196 ประเทศสมาชิกทั่วโลกจะทำงานร่วมกันในการปราบปราม

พล.ต.อ.ธัชชัย แสดงความเชื่อมั่นว่าเจ้าหน้าที่กัมพูชาต้องการกวาดล้างเช่นกัน และแรงกดดันทางสังคมจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในการปราบปรามอย่างจริงจัง

สุดท้าย พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวว่า การที่ประชาชนไทยยังคงถูกหลอกลวงจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์นั้น เป็นสิ่งที่ต้องแก้ไขที่ปัจจัยพื้นฐานที่เอื้ออำนวยต่อกระบวนการนี้ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากคนไทยเช่นกัน

พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ