
จากกรณีที่ปรากฏข่าวว่า มีการหายตัวไปของเครือญาติพร้อมกันถึง 5 ราย ประกอบด้วย นางอุษา อายุ 43 ปี, น.ส.ชนนิกานต์ หรือน้องบีม อายุ 22 ปี, น.ส.ญาสุมินร์ หรือน้องรุ้ง อายุ 22 ปี (เพื่อนน้องบีม) น้องฟอร์ด อายุ 13 ปี และน้องฟ้าใส อายุ 13 ปี ตั้งแต่วันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา จากในพื้นที่ อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช โดยทั้งหมดหายไปกับนายลมกรด หรือนายแบงค์ อายุ 36 ปี ชาวจังหวัดเชียงใหม่ แฟนของน้องบีม และมีการร้องเรียนจนกลายเป็นเรื่องที่ถูกเปิดเผยในสื่อมวลชน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
ล่าสุด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้เรียกคณะทำงานของ บช.ภ.8 และ ตำรวจฝ่ายสืบสวน สภ.ท่าศาลา และตำรวจหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในคดี มาประชุมถึงความคืบหน้าในคดีนี้
ภายหลังเข้ารับฟังความคืบหน้าคดี ประมาณ 1 ชั่วโมง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ กับสื่อมวลชน ระบุว่า จากการรับฟังรายงานว่า เบื้องต้น จากการตรวจสอบ และรับฟังข้อมูลทั้งหมด ยืนยันได้ว่า คดีนี้ไม่ใช่การค้ามนุษย์ และการอุ้มตัวไป แต่เป็นการพาเยาวชนไปเที่ยว หลังได้เงินจาการขายที่ จำนวน 4 แสนบาท ส่วนสาเหตุที่พาเด็กไปนานกว่า 3 เดือน ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง
สำหรับเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นที่ อำเภอท่าศาลา และมีการพาไปร่วมงานศพที่ อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา ก่อนนำลงมาเที่ยวในพื้นที่กรุงเทพฯ และพื้นที่อื่นๆ
ทั้งนี้ตนเองอยากฝากถึง อุษา ที่มีศักดิ์เป็นป้าของเด็กๆ ขอให้พาเด็กๆ มาคืนผู้ปกครอง ส่วนความผิดขณะนี้ เบื้องต้นเข้าข่ายการพรากผู้เยาว์ แต่หากยังไม่นำเด็กมาคืน จะถูกดำเนินคดีหนักขึ้นกว่านี้ โดยสามารถนำเด็กมาคืนได้ที่ สถานีตำรวจพื้นที่ใกล้เคียง หรือ สน.ทั่วประเทศ
แต่ตนเองยังได้มีการสั่งการให้ ฝ่ายสืบสวนในคณะทำงาน ลงพื้นที่ติดตามตัวบุคคลทั้ง 5 ไปพร้อมกันด้วย โดยยืนยันว่า หากตำรวจฝ่ายสืบสวนพบตัวเด็กก่อนที่จะมีการนำเด็กเมื่อคืน จะดำเนินการทางคดีอย่างหนัก
ขณะที่เบาะแสของกลุ่มคนทั้ง 5 คนที่ถูกพาไปในครั้งนี้นั้น พบว่าล่าสุดปรากฏตัวในพื้นที่กรุงเทพฯ แต่ยังไม่ขอเปิดเผยในรายละเอียดแต่ยืนยันได้ว่า ขณะนี้ยังมีชีวิตอยู่ และไม่ได้มีการถูกคุมขัง หรือคุมตัวแต่อย่างใด ส่วนที่มีการตั้งประเด็น ความขัดแย้งภายในครอบครัวของผู้เสียหาย หรือไม่ ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ต้องรอให้ได้ตัวเด็กทั้งหมดกลับมาก่อน จึงจะสามารถ ชี้แจงในรายละเอียดได้อีกครั้ง
ส่วนที่ตำรวจมีการจับกุมตัว นายนพดล คนขับรถตู้ที่พากลุ่มบุคคลทั้ง 5 คน ไป เนื่องจากตำรวจในพื้นที่ อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียง รับแจ้งจากผู้เสียหายชาวจีนว่า โทรศัพท์มือถือ ได้ถูกหนึ่งในกลุ่มบุคคลทั้ง 5 นำไปจากห้องน้ำภายในปั๊มแห่งหนึ่ง และมีการตรวจสอบเลขทะเบียนรถยนต์ รวมทั้งมีการไล่วงจรปิดไปจนพบว่ายังอยู่ในพื้นที่อำเภอแม่ใจ จึงมีการเชิญตัวมาตรวจสอบประวัติ
และพบว่าตัวนายนพดล มีหมายจับในคดีฉ้อโกง แต่ในขณะนั้นตำรวจไม่ได้มีการ ตรวจสอบตัวนายลมกรด หรือแบงค์ ว่ามีคดีหรือมีหมายจับหรือไม่ ทั้งที่ในข้อเท็จจริงตัว นายลมกรด มีคดีฉ้อโกงธนาคาร จำนวนมูลค่า 1.8 ล้านบาท หากตรวจสอบตั้งแต่แรก ก็จะสามารถดำเนินการคุมตัว และ ได้ตัวกลุ่มบุคคลทั้ง 5 มาตั้งแต่แรก เพราะในวันที่มีการเชิญตัวคนขับรถตู้ไปที่สถานีตำรวจภูธรในอำเภอแม่ใจ ตัวเด็ก และบุคคลทั้ง 5 ก็อยู่บนรถที่สถานีตำรวจภูธรด้วยเช่นกัน