
18 มิถุนายน 2566 มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน เวลา 12.15 น. พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ธนนันท์ทวีสิน ผู้บังคับการประจำ บช.ส. อดีต ผบก.ภ.จว.ชลบุรี เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองชลบุรี เพื่อดำเนินคดีกับข้าราชการตำรวจ ยศ พล.ต.ต.-พ.ต.ท. จำนวน 13 นาย ในความผิดฐาน
กรณีสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2565 เวลาประมาณ 08.19 น. มีเหตุกลุ่มชายฉกรรจ์ร่วมกันทำร้ายร่างกายกลุ่มนักท่องเที่ยวหลายรายได้รับบาดเจ็บ โดยมีและใช้อาวุธปืน มีการใช้อาวุธปืนยิงยางรถยนต์ได้รับความเสียหาย เหตุเกิดที่บริเวณพูลวิลล่า ถ.จอมเทียนสาย 2 ม.12 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ในท้องที่ สภ.เมืองพัทยา
หลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ธนนันท์ทวีสิน ในฐานะ ผบก.จว.ชลบุรี มีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่ง ภ.จว.ชลบุรี ที่ 448/2565 ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2565 เรื่อง แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคดีอาญาที่ 3160/2565 ของ สภ.เมืองพัทยา คณะพนักงานสอบสวนจำนวน 14 นาย โดยมี พ.ต.อ.โสฬส เอี่ยมสะอาด เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน และคณะพนักงานสืบสวน จำนวน 11 นาย โดยมี พ.ต.อ.กรวัฒน์ หันประดิษฐ์ เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวน ตามคำสั่ง ภ.จว.ชลบุรี ที่ 448/2565 เนื่องจากเป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชนและสื่อมวลชน
เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2565 ผบช.ภ.2 ได้มีคำสั่ง ภ.2 ที่ 276/2565 เรื่อง แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน เพื่อทำการสืบสวนสอบสวนรวบรวมหลักฐานและขยายผลในเรื่องดังกล่าว ประกอบด้วย "พล.ต.ต. อ" ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภ.2 และ "พล.ต.ต.ธ" ผู้ต้องหาที่ 2 เป็นรองหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน "พ.ต.อ.ช" ผู้ต้องหาที่ 6 เป็นเลขานุการ ผู้ต้องหาที่ 3 ถึง ผู้ต้องหาที่ 8 กับพวกรวม 12 นาย เป็นพนักงานสอบสวน ทั้งยังแต่งตั้งพนักงานสืบสวนอีก 17 นาย ตามคำสั่ง ภ.2 ที่ 276/2565
นอกจากนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ผู้ได้รับมอบอำนาจจาก ผบ.ตร. ลงมากำกับดูแลการสอบสวนสืบสวนและติดตามคดีด้วยตนเอง แต่ ผบ.ตร. ไม่ได้ให้อำนาจ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้มีอำนาจมอบหมายสั่งการ หรือ แต่งตั้งให้เจ้าพนักงานตำรวจอื่นเข้าทำการสืบสวนสอบสวนหรือติดตามคดีแทนได้ แต่ "พ.ต.อ.ข" ผู้ต้องหาที่ 12 และ "พ.ต.ท.ธ" ผู้ต้องหาที่ 13 กลับแอบอ้างว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ได้มอบหมายให้ตนเข้าร่วมทำการสืบสวนสอบสวน แล้วผู้ต้องหาที่ 12 และ 13 ได้ร่วมกับ "พ.ต.อ.ก" ผู้ต้องหาที่ 10 และ "พ.ต.ท.ธ" ผู้ต้องหาที่ 11 กระทำผิดด้วยการแบ่งหน้าที่กันทำโดยมิชอบ
กล่าวคือ เมื่อระหว่างวันที่ 19 ตุลาคม 2565 เป็นต้นมา วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด ผู้ต้องหาที่ 12 และ 13 ได้แสดงตนว่าเป็นพนักงานสืบสวนสอบสวน ทั้งที่ตนเองไม่มีอำนาจหน้าที่นั้น โดยกระทำการสอบปากคำพยานบุคคล ได้แก่ พ.ต.ต.วรพจน์ จดน้อม, ร.ต.อ.ศักดิ์ณรงค์ มีภาพ, ด.ต.หญิง รุ่งทิพย์ พุฒตาล, พ.ต.ท.เนติวัตร ภูบาลชื่น, พ.ต.ต.จิรวัฒน์ ปัญญาเจริญสุข, ด.ต.ธวัช เถื่อนผึ้ง และทำการสืบสวนสอบสวนปากคำนายอรรถวุฒิ ธินาธรรม หรือ เอ็มปู้ไปล่ นายนฤนาท หรือตี๋ เชาว์เฉียบ และ นายบุญฤทธิ์ หรือฉุย จิตมา โดยมิชอบด้วยกฎหมาย
เสร็จแล้วให้ผู้ต้องหาที่ 10 และ 11 เป็นผู้ลงชื่อแทนหรือร่วมลงชื่อด้วย ในฐานะผู้สอบปากคำทั้งที่ตนเองมิได้เป็นผู้ทำการสืบสวนสอบสวน หรือร่วมอยู่ในการสืบสวนสอบสวนจริง โดยมีเจตนากลั่นแกล้ง เพื่อให้ผู้เสียหายต้องถูกดำเนินคดี และให้ได้รับโทษทางอาญาและทางวินัย ต่อจากนั้น ผู้ต้องหาที่ 10 - 13 ได้ร่วมกันจดแจ้งความเท็จ ด้วยการนำเสนอข้อเท็จจริงที่ได้จากการสอบสวนสืบสวนอันไม่ชอบนั้น ใช้เป็นพยานหลักฐานในการกล่าวหาดำเนินคดีอาญาต่อผู้เสียหาย
เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2565 เวลาประมาณ 10.00 น. ได้มี นายอรรถวุฒิ ธินาธรรม หรือ เอ็มปู่ไปล่ และ นายนฤนาท หรือตี๋ เชาว์เฉียบ พาตัว นายจิโรจน์ หรือหรั่ง วัฒนะ ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดพัทยา ที่ 459/2565 ลงวันที่ 18 ตุลาคม 2565 ในคดีดังกล่าวข้างต้น พร้อมชายอีก 2 คน คือ นายบุญฤทธิ์ หรือฉุย จิตมา และนายสราลัญ หรือท็อป ยอดทัด เข้ามาพบ พ.ต.อ.กรวัฒน์ หันประดิษฐ์ รอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี ผู้เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนในคดี ตามคำสั่ง ภ.จว.ชลบุรี ที่ 448/2565 ดังกล่าว ณ ที่ทำการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี โดย นายจิโรจน์ เข้ามามอบตัวตามหมายจับ ส่วนนายบุญฤทธิ์ และนายสราลัญ อ้างว่าตนทั้ง 2 คน เป็นผู้ร่วมกระทำความผิดด้วย
จากนั้น พ.ต.อ.กรวัฒน์ ผู้เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวน ได้รายงานให้พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ทราบ และ พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้น ต่อมาในฐานะผู้บังคับบัญชาได้เข้ากำกับดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่ง ภ.จว.ชลบุรี ที่ 448/2565 โดยทำการสืบสวนสอบสวนเป็นคณะทำงาน มีเจ้าพนักงานตำรวจำนวนหลายนายจากหลายหน่วยงาน ทั้งเข้าร่วมสืบสวนสอบสวน และเข้าร่วมสังเกตการณ์ ในจำนวนนี้มีผู้ต้องหาที่ 12 กับพวก ที่อ้างตนว่าเป็นชุดคลี่คลายคดีสำคัญ โดยรับคำสั่งจาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รวมอยู่ด้วย
ในระหว่างการสืบสวนสอบสวน ได้มีการตั้งข้อสังเกตจากผู้ร่วมปฏิบัติหลายนายว่า ผู้ที่มารับสมอ้างเป็นผู้ต้องหา 2 คน คือ นายบุญฤทธิ์ และ นายสราลัญ นั้น มีลักษณะหรืออัตลักษณ์เฉพาะตนไม่ตรงกับบุคคลในภาพวงจรปิดในที่เกิดเหตุ
คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนของ ภ.จว.ชลบุรี จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานให้มาร่วมในการตรวจพิสูจน์ยืนยันตัวบุคคล ทั้งการตรวจพิมพ์ลายนิ้วมือ การตรวจคราบเขม่าดินปืน และการตรวจ DNA ตรวจพิสูจน์อาวุธปืน และตรวจพิสูจน์รถยนต์ที่ใช้ในการก่อเหตุ ที่ผู้ต้องหาได้นำมามอบให้กับเจ้าพนักงานตำรวจในวันดังกล่าว เพื่อแสวงหาพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อพิสูจน์ทราบตัวบุคคลและผู้ร่วมกระทำความผิด
มีการตรวจสอบและเปิดดูภาพจากกล้องวงจรปิดในสถานที่เกิดเหตุ เพื่อเปรียบเทียบตรวจสอบยืนยันอัตลักษณ์บุคคลหลายครั้ง กับทั้งมีการซักถามผู้ที่มารับสมอ้างเป็นผู้ต้องหา 2 คน เป็นเวลานานหลายชั่วโมง ระหว่างนั้นในช่วงเวลาบ่ายของวันเดียวกันนั้น มีบุคคลเดินทางเข้ามอบตัวเพิ่มอีก 2 คน คือ นายภูริชล หรือใหม่ คำจีน และ นายธนพล หรือเต่า คำเพ็ชร รวมเป็น 5 คน
คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนและผู้ร่วมปฏิบัติหลายนาย มีการตั้งประเด็นข้อสงสัยดังกล่าว มีการถกเถียงอย่างกว้างขวางและเปิดเผยในกลุ่มเจ้าพนักงานตำรวจที่ร่วมปฏิบัติหน้าที่ ณ ขณะนั้น เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงอย่างชัดแจ้ง และเพื่อเกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ผู้เสียหายได้กำชับคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนหลายครั้งหลายคราให้สอบปากคำผู้เสียหายและพยาน ซึ่งส่วนมากในขณะนั้นอยู่ที่ สภ.เมืองพัทยา ให้ปรากฎชัดว่าผู้ที่มารับสมอ้างเป็นผู้ต้องหาทั้ง 2 คนนั้น เป็นผู้ต้องหาที่ร่วมก่อเหตุจริงหรือไม่ อย่างไร มีใครเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดบ้าง
หากพบว่าผู้ที่มารับสมอ้างเป็นผู้ต้องหา ทั้งที่มิใช่ผู้ต้องหาที่แท้จริง ต้องถูกดำเนินคดีในข้อหาให้การเท็จต่อเจ้าพนักงาน และข้อหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดด้วย ซึ่งทั้งหมดนั้นถือเป็นขั้นตอนตามกระบวนการสืบสวนสอบสวนตามกฎหมาย ภายใต้อำนาจหน้าที่ของคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่ง ภ.จว.ชลบุรี ที่ 448/2565 ดังกล่าวทั้งสิ้น
และเพื่อให้การดำเนินการสืบสวนสอบสวนอันเป็นการปฏิบัติราชการตามขั้นตอนของกฎหมายให้สัมฤทธิ์ผล โปร่งใส และเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย และมูลความผิดหลักอยู่ในท้องที่ สภ.เมืองพัทยา คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่ง ภ.จว.ชลบุรี ที่ 448/2565 จึงได้ส่งตัวผู้ต้องหาและผู้รับสมอ้างเป็นผู้ต้องหาทั้งหมดไปยัง สภ.เมืองพัทยา เพื่อให้ผู้เสียหายและพยานชี้ตัวและสอบสวนปากคำ ผู้เสียหายและพยานเพื่อพิสูจน์ทราบตัวบุคคลและพิสูจน์ทราบการกระทำความผิด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย และดำเนินการสืบสวนสอบสวนให้เป็นไปตามขั้นตอนและกระบวนการของกฎหมาย
หลังจากพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา ได้ดำเนินการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2565 เจ้าพนักงานตำรวจ สภ.เมืองพัทยา จึงได้ส่งตัว นายอรรถวุฒิ ธินาธรรม นายเอกพล เอี่ยมวิสูตร นายบุญฤทธิ์ จิตมา และ นายสราสัญ ยอดทัด ไปให้พนักงานสอบสวน สภ.เมืองชลบุรี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
หาใช่เป็นการดำเนินการของ "พ.ต.อ.ข" ผู้ต้องหาที่ 12 กับพวก ตามที่คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนของ ภ.2 กล่าวอ้างและใช้เป็นพยานหลักฐาน ในการกล่าวหาและดำเนินคดีอาญาต่อผู้เสียหาย ดังที่ปรากฎในบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2565 และตามที่ "พ.ต.อ.ช." ผู้ต้องหาที่ 6 นำข้อความอันเป็นเท็จจดแจ้งในประจำวันข้อ 5. เวลา 13.45 น. วันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 ของ สภ.เมืองชลบุรี
เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำผู้เสียหายไว้ โดยอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อแจ้งผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงและส่งพยานหลักฐานแก้ข้อกล่าวหา