28 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลมีคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการและรักษาการเจ้าอาวาสวัดวชิรธรรมาราม เป็นโจทก์ฟ้อง นายอภิรัตน์ หรือเนย ชยางกูล ณ อยุธยา อายุ 40 ปี เป็นจำเลยฐาน ลักทรัพย์ ฉ้อโกง ปลอมแปลงเอกสารใช้และใช้เอกสารปลอม ทำให้วัดวชิรธรรม และวัดสาขา ในกรุงเทพและต่างจังหวัดเสียหายและให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวน 80.1 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย
คดีนี้โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า เดิมสมเด็จพระวันรัต เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร และรักษาการเจ้าอาวาสวัดวชิรธรรมาราม อาพาธรักษาตัวที่ รพ. ระหว่างปี 2564-2565 ทางสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ได้ส่งเงินจำนวน 78.5 ล้านบาท เข้าบัญชีวัดวชิรธรรม เพื่อใช้จ่ายในการก่อสร้างวัดวชิรธรรมาราม และโครงการอื่น ๆ มีพระวันรัต เป็นผู้มีอำนาจเบิกถอนเงินเพียงผู้เดียว ในหลายบัญชีอาทิ ธนาคารกสิกรไทย สาขาบางลำภู วัตถุประสงค์ฝากเงินเพื่อเอาดอกเบี้ย จนเงินเพิ่มเป็น 80.1 ล้านบาท
จำเลยเป็นศิษย์คนสนิท รู้ว่าเงินไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนตัวของพระวันรัตแต่เป็นของวัดวชิรธรรมฯ ได้ออกอุบายหลอกพระวันรัตให้ลงลายมือชื่อเบิกถอนเงิน หลายครั้ง เพื่อไปเบิกถอนเงินจากธนาคาร แล้วนำไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่ธนาคาร เมื่อเจ้าหน้าที่โทรมาสอบถามพระวันรัต ก็ไม่ได้รับสาย เพราะจำเลยให้ปิดเสียงและนำไปไว้ไกล ๆ
จำเลยได้แจ้งศิษยคนอื่น ๆ ว่าถ้าธนาคารโทรมาหาพระวันรัตเพื่อยืนยันการถอนเงิน ก็รับและให้บอกว่าให้โทรหาจำเลยเป็นต้น โดยมีการถอนเงินตั้งแต่หลักหมื่น จนถึงหลัก 50 ล้านบาท เพื่อส่งให้บิดา มารดาและน้องจำเลย ทั้งนี้ได้โอนเงิน 50 ล้านบาทเข้าบัญชีจำเลยเอง
นอกจากนี้ จำเลยนำเงินที่หลอกลวงมาไปซื้อ รถเบนลีย์ บีเอ็มดับบลิว และรถราคาแพงหลายคัน กับจองและสั่งซื้อเลขป้ายทะเบียนสวย กระเป๋าราคาแพง อัญมณี ชำระหนี้บัตรเครดิต เป็นต้น ต่อมาพระวันรัตได้ทราบ เกี่ยวการโอนเงินวัดเข้าบัญชีจำเลย จึงสอบถามจำเลยซึ่งจำเลยตอบว่าโอนเงินผิด พระวันรัต จึงตำหนิจำเลยแล้วบอกให้โอนเงินกลับคืนมา แต่จำเลยไม่โอน
ทั้งนี้ จำเลยมีการกระทำในลักษณะเดียวกันนี้ต่อวัดบวรนิเวศวิหาร วัดรัตนวราราม ในหลายบัญชี จึงขอให้ลงโทษจำเลยสถานหนัก และให้คืนเงิน 80.1 ล้านบาทแก่วัดวชิรธรรมาราม ส่วนจำเลยให้การปฎิเสธ ทำนองว่าเป็นเงินได้มาโดยเสน่หา ชั้นพิจารณาคดีจำเลยถูกควบคุมตัวที่เรือนจำมาโดยตลอด
โดยวันนี้ศาลได้เบิกตัวนายอภิรัตน์ จำเลยมาจากเรือนจำ และมีญาติโยมลูกศิษย์วัดมาร่วมฟังคำพิพากษา
ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า จำเลยมีเจตนาฉ้อโกงหลอกลวงสมเด็จพระวันรัต โดยปลอมและใช้ใบถอนเงินปลอม โดยเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2564 จำเลยได้ถอนเงินจำนวน 50 ล้านบาท ซึ่งเจ้าหน้าที่ธนาคารหลงเชื่อว่าใบถอนเงินดังกล่าวเป็นเอกสารฉบับจริง หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2565 จำเลยยังได้โอนเงินจำนวน 30 ล้านบาทเศษ เข้าบัญชีส่วนตัวของจำเลย โดยฝ่าฝืนไม่ได้รับความยินยอมจากสมเด็จพระวันรัต
ดังนั้น จากพฤติกรรมเห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาหลอกลวงเพื่อผลประโยชน์ของตนเองโดยทุจริตมาตั้งแต่ต้นและปกปิดข้อมูลข้อเท็จจริง การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม ซึ่งเป็นบทลงโทษหนักที่สุด
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อาญามาตรา 265 และ 268 วรรคแรก ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม จำนวน 2 กระทง จำคุกกระทงละ 5 ปี รวมโทษจำคุก 10 ปี และให้จำเลยคืนเงินจำนวน 80 ล้านบาทเศษ แก่วัดวชิรธรรมด้วย