10 มกราคม 2566 ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.หญิง กรแก้ว ประหยัดทรัพย์ สว.(สอบสวน) กก.5 บก.ปปป. เพื่อร้องขอให้ตรวจสอบกรณีการจัดซื้อจัดจ้าง ด้วยวิธีเฉพาะเจาะจง การก่อสร้างเปลี่ยนป้ายสถานีกลางบางซื่อ เป็นสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ วงเงิน 33 ล้านบาท
นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า ต้องการให้ตรวจสอบเจ้าหน้าที่การรถไฟแห่งประเทศไทยและผู้เกี่ยวข้อง ทั้งผู้บริหาร กรรมการจัดซื้อจัดจ้าง รวมไปถึงผู้รับสัญญาจ้าง ว่าการกระทําดังกล่าวนั้นเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 9-13 หรือไม่ ซึ่งเหตุที่เดินทางมาร้องในวันนี้ เพื่อต้องการให้มีการลงโทษเพิ่มเติม เพราะอํานาจสืบสวนนั้นมีกรอบระยะเวลา 30 วัน ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ปปป.)
นายมงคลกิตติ์ กล่าวด้วยว่า การเปลี่ยนป้ายแบบเฉพาะเจาะจงนั้น จะต้องเป็นเรื่องของความมั่นคงตาม พ.ร.บ. การจัดซื้อจัดจ้างฯ แต่ในครั้งนี้ไม่เห็นเหตุอันควรหรือเร่งด่วนอะไร ซึ่งตนเองมองว่า อาจมีการเอื้อประโยชน์แอบแฝง หรือเพื่อช่วยเหลือให้ผู้เสนอราคารายใดได้มีสิทธิเข้าทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐโดยไม่เป็นธรรม หรือเพื่อกีดกันผู้เสนอราคารายใดมิให้มีโอกาสเข้าแข่งขันในการเสนอราคาอย่างเป็นธรรมหรือไม่พร้อมเผยว่า จะนําเรื่องนี้เข้าสู่การอภิปรายแบบทั่วไปในต้นเดือนกุมภาพันธ์ ที่จะถึงนี้
"พรรคไทยศรีวิไลย์ จะเป็นพรรคแรกที่จะอภิปรายเกี่ยวกับเรื่องของทุนจีนสีเทาในสภา ซึ่งตนเองมีข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทของหลาน พล.อ.ประยุทธ์ฯ กรณีของรถบัสหนีภาษี และจะขอหลักฐานเพิ่มเติมกับทางนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ แต่ต้องรอดูว่าทางนายชูวิทย์ จะให้หลักฐานเพิ่มเติมมากน้อยเพียงใด เนื่องจากทางนายชูวิทย์ เคยกล่าวไว้ว่าไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับการเมือง อีกทั้งยังแสดงความยินดีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังเปิดตัวกับทางพรรครวมไทยสร้างชาติว่าจะได้เป็นนักการเมืองแบบเต็มตัวเสียที" นายมงคลกิตติ์ กล่าว