10 ธันวาคม 2565 ในช่วงค่ำของวันที่ 7 ธันวาคม 2565 "นักข่าวเนชั่นทีวี" ได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์พิเศษ "จ้าว เหว่ย" และได้ร่วมเดินตรวจดูการค้าขายที่ถนนคนเดิน ในย่านไชน่าทาวน์ของเขตเศรษฐกิจพิเศษ สปป.ลาว ซึ่งจะเปิดตั้งแต่ช่วงค่ำไปจนถึงตี 4 ของทุกวัน ที่นี่มีการค้าขายของพ่อค้าแม่ค้าที่มีร้านตั้งเรียงรายยาวประมาณ 100 เมตร ร้านค้าต่างๆก็จะขายอาหาร ขนม ผลไม้ ต่างๆเหมือนในประเทศไทยทั่วไป
"จ้าว เหว่ย" บอกว่า ถนนคนเดิน จะให้เฉพาะชาติพันธุ์ ชนกลุ่มน้อยที่มาค้าขายได้เท่านั้น แม้จะมีคนจีนอยู่ในพื้นที่ แต่ก็ไม่ได้ให้สิทธิคนจีน จะให้สิทธิกับคนที่ด้อยโอกาส เพื่อให้เขาได้สร้างคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น เพราะเศรษฐกิจของคนจีนดีกว่าคนลาว จึงต้องช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาสกว่า และครั้งนี้ก็มาเพื่อจะเดินดูพื้นที่ เพื่อในอนาคตจะต้องมีการขยายการค้าขายของถนนคนเดินให้ยาวขึ้น และจะพานักท่องเที่ยวมาให้มากขึ้นด้วยเพื่อมาอุดหนุนพ่อค้าแม่ค้า เพื่อให้ทุกคนได้รวยไปด้วยกัน
โดยการที่ "จ้าว เหว่ย" ได้ลงมาเดินดูตลาดนั้น ทีมงานของจ้าวเหว่ย บอกว่า ปกติแล้ว จ้าวเหว่ย ไม่ได้ออกมาเดินแบบนี้ และตลอดระยะทางที่เดินบนถนนคนเดิน จะสังเกตุเห็นได้ชัดเจนว่า
นอกจากทีมงานของบริษัทดอกงิ้วคำ ซึ่งเป็นบริษัทสัมปทานที่ "จ้าวเหว่ย" เป็นประธานแล้ว จะมีกองกำลังทหาร คอยอารักขา และดูแลความปลอดภัย ซึ่งทหารชุดนี้ จะได้เงินพิเศษในการมาดูแล "จ้าว เหว่ย" อีก หากคิดเป็นเงินไทยเดือนละ 15,000 บาท ซึ่ง"เจ้า เหว่ย" ได้แวะทักทายพูดคุยกับพ่อค้าแม่ค้าที่ส่วนใหญ่เป็นชาวลาวมาค้าขาย รวมถึงได้ร่วมอุดหนุนสินค้าอย่างเป็นกันเอง
แต่ช่วงหนึ่ง "จ้าว เหว่ย" พูดว่า ครั้งหน้าถ้าจะมาเดินอีกคงต้องพกเงินมาด้วย โดยมีทีมงานแซวว่า ครั้งนี้ไม่ได้พกเงินมาพกมาแต่บารมี ทำให้จ้าวเหว่ย ยิ้มรับคำแซวนี้ และบอกอีกว่า ปกติในกระเป๋าไม่มีเงินสักบาท
ทั้งนี้นักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวบนถนนคนเดิน และผู้ที่อาศัยรวมถึงทำงานอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ต่างก็ให้ความสนใจและพูดถึง เมื่อจ้าวเหว่ยเดินผ่าน บางกลุ่มก็เข้าไปพูดคุยชื่นชมด้วย
คลิป>>> ตามรอยเจ้าพ่อ คิงส์โรมัน EP.1
สำรวจ"สตรีทฟู้ด" ในสามเหลี่ยมทองคำ ราคาที่ไม่ธรรมดา
ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ที่มีบริษัทดอกงิ้วคำ เป็นเจ้าของสัมปทานและพัฒนาพื้นที่ ภายใต้การนำของ"จ้าว เหว่ย" ประธานเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ หรือที่รู้จักกันว่า เจ้าพ่อ"คิงส์โรมัน"
ถ้าดูจากการพัฒนาพื้นที่ขณะนี้ มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ขยายพื้นที่โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั้งสนามบิน และแหล่งท่องเที่ยว เพื่อรองรับนักลงทุนจากทั่วโลก ซึ่งก็คืบหน้าไป60%แล้ว
แต่หากดูจากวิถีชีวิตในพื้นที่ของเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งนี้ ซึ่งมีทั้งคนลาว และคนจีน คนพม่า อาศัยและทำงาน ทำธุรกิจอยู่ในพื้นที่
คนเหล่านี้ นอกจากจะทำงานในบริษัทดอกงิ้วคำ และทำงานให้กับร้านค้าของนักลงทุนต่างๆตามโรงแรม ร้านอาหาร สถานบันเทิงแล้ว ก็มีการทำมาค้าขายแนวสตรีทฟู๊ด ร้านชำ เหมือนในประเทศไทยด้วย
หากดูราคาอาหารทั่วไป ที่ขายตามแหล่งท่องเที่ยว ต่างๆ แนวสตรีทฟู๊ดส์ ไม่ว่าจะเป็นลูกชิ้น น้ำผลไม้ปั่น ชานมไข่มุก ไอศครีม กล้วยทอด และอื่นๆ ราคาจะคิดเป็นมูลค่าเงินหยวน ซึ่งหากคิดเป็นเงินไทยถือว่ามีราคาสูง เช่น ชาไข่มุก แก้วละ 20 หยวน หรือ 100 บาทไทย กล้วยทอดชุดละ 20 หยวน หรือ 100 บาทไทย ซึ่งปริมาณก็เหมือนกับที่เราซื้อรับประทานในประเทศไทยปกติเลย
จากการสอบถามข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ของบริษัทดอกงิ้วคำ ทำให้รู้ว่า ที่ราคาสูง เพราะหากใครจะเข้ามาทำการค้าขายในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ จะต้องเสียภาษี2ต่อ คือ เสียภาษีให้กับรัฐบาลลาว และเสียภาษีให้กับเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งนี้ ที่มีบริษัทดอกงิ้วคำเป็นเจ้าของสัมปทานด้วย แต่หากออกไปนอกพื้นที่เขตราคาก็จะเป็นราคาปกติ
เมื่อ"นักข่าวเนชั่นทีวี" ได้สอบถามพ่อค้าแม่ค้า พวกเขาบอกว่า พวกวัตถุดิบก็ซื้อมาจากฝั่งไทย แต่การค้าขาย อย่างในแหล่งท่องเที่ยว เกาะดอนซาว มีค่าเช่าที่เดือนละประมาณ 10,000 บาท แต่พ่อค้าแม่ค้าบอกว่า ยอดขายบางวันก็สูงถึง 10,000 บาท เท่ากับว่าในวันเดียวก็ได้ค่าเช่าที่คืนแล้ว และก็เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่คนลาวตัดสินใจมาร่วมลงทุนเปิดร้านขายของเล็กๆในเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพราะพวกเขามองเห็นโอกาสของการเติบโตของเขตเศรษฐกิจพิเศษที่จะทำให้พวกเขามีรายได้ที่มากยิ่งขึ้น
คลิป>>> ส่องวิถีชีวิต อาณาจักรคิงส์โรมันที่ไม่หลับใหล EP.2