ริชี ซูนัค นายกฯ ใหม่อังกฤษ สัญญาแก้ไขความผิดพลาด

ริชี ซูนัค เข้าเฝ้าพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ที่พระราชวังบักกิงแฮมในวันนี้ (25 ต.ค.) เพื่อรับการโปรดเกล้าแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่

หลังจากนั้นเขาแถลงที่หน้าบ้านเลขที่ 10 บนถนนดาวนิงในฐานะนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งแรก โดยใช้เวลาแถลง 5 นาที 56 วินาที ซึ่งเป็นการแถลงรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ยาวเป็นอันดับสองในรอบหลายสิบปี

เขาเริ่มต้นด้วยการเตือนให้ประเทศตระหนักถึงการเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจครั้งรุนแรง และผลกระทบจากโควิด-19 ที่ยังคงระบาดอยู่ แม้เขากล่าวยกย่องลิซ ทรัสส์ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ลาออกเมื่อวันที่ 20 ต.ค. สำหรับความพยายามกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ก็ระบุว่า มีสิ่งผิดพลาด นอกจากนี้เขา บอกว่า “ผมได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรี ส่วนหนึ่งก็เพื่อแก้ไขความผิดพลาดนั้น และงานนี้เริ่มต้นขึ้นทันทีแล้ว”

นอกจากนี้เขา บอกว่า ในสมัยเป็นรัฐมนตรีคลัง เขาได้ทุกอย่างเพื่อปกป้องประชาชนและธุรกิจ และสัญญาว่า จากนี้เขาจะไม่ทิ้งให้คนรุ่นต่อไปต้องแบกรับภาระหนี้สิน จะสร้างเอกภาพในประเทศด้วยการกระทำ ไม่ใช่คำพูด และจะทำงานอย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อรับใข้ประชาชน

ซูนัก ยังบอกด้วยว่า รัฐบาลของเขาจะมีความซื่อสัตย์ มืออาชีพ และความรับผิดชอบในทุกระดับ และจะทำให้รัฐบาลได้รับความไว้วางใจจากประชาชน นอกจากนี้เขาพร้อมจะบริหารประเทศ โดยคำนึงถึงความต้องการของประชาชนเหนือการเมือง และปิดท้ายคำแถลงด้วยการบอกว่า “เมื่อเราร่วมมือกัน ก็สามารถทำสิ่งน่าเหลือเชื่อได้”

ก่อนหน้านั้นทรัสส์ แถลงครั้งสุดท้ายในฐานะนายกรัฐมนตรีที่หน้าบ้านเลขที่ 10 ก่อนไปเข้าเฝ้าพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 เพื่อลาออกจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เธอบอกว่า เป็นเกียรติที่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และกล่าวปกป้องแนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการลดภาษีของเธอ แม้สร้างความกังวลแก่ตลาดจนเกิดแรงกดดันให้เธอต้องลาออกจากตำแหน่ง

เธอบอกว่า “ช่วงที่เป็นนายกรัฐมนตรี ฉันเชื่อยิ่งขึ้นว่า “เราจำเป็นต้องกล้าและเผชิญหน้ากับความท้าทายที่เราประสบ” พร้อมกับอ้างคำคมของ เซเนกา นักปรัชญาชาวโรมันว่า “มันไม่ใช่เพราะสิ่งเหล่านั้นยากจนเราไม่กล้าทำ มันเป็นเพราะเราไม่กล้า จึงทำให้สิ่งนั้นยาก”

นอกจากนี้เธออวยพรให้ซูนัคประสบความสำเร็จทุกอย่างเพื่อผลดีของประเทศชาติ และกล่าวปิดท้ายด้วยว่า ประเทศยังคงพยายามฝ่าฟันมรสุม แต่เธอเชื่อมั่นในสหราชอาณาจักรและประชาชน และรู้ดีว่า อนาคตที่สดใสกว่ารออยู่เบื้องหน้า