สหรัฐฯ ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ไขคดีนางงามเด็ก หลังล่วงเลยมา 26 ปี

เช้าวันที่ 2 ของเทศกาลคริสต์มาสในปี 2539 จอนเบเนต์ แรมซีย์ วัย 6 ขวบ หายตัวไปจากที่นอนที่บ้านในเมืองบูลเดอร์ รัฐโคโลราโดของสหรัฐฯ และแพตซี (Patsy) แม่ของเธอได้โทรศัพท์แจ้งตำรวจอย่างฉุกละหุกก็เป็นเวลา 05.52 น. หลังจากแม่บ้านวัย 39 ปี พบจดหมายข่มขู่ที่บันไดหลังบ้าน บ่งชี้ว่าเด็กถูกลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่ 118,000 ดอลลาร์ และคนร้ายจะโทรศัพท์ติดต่อในช่วง 08.00-10.00 น. แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีการติดต่อเข้ามา ก่อนหน้านั้นตำรวจได้เข้าค้นบ้านแต่ไม่พบร่องรอย เมื่อคนร้ายไม่ติดต่อกลับมาก็เลยขอตรวจค้นอีกครั้ง เพื่อค้นหาว่ามีอะไรสูญหายหรือไม่ 

ไม่นานหลังจากนั้นจอห์น (John) ได้ค้นพบบางอย่างที่น่ากลัวในห้องใต้ดิน ที่ใต้ผ้าห่มสีขาวมีศพของจอนเบเนต์ ในสภาพถูกรัดคอด้วยเชือกที่บางส่วนรัดเอวเธอด้วย ปลายเชือกถูกมัดไว้ด้วยพู่กันที่หัก ซึ่งแพทซีใช้วาดรูปอยู่เป็นประจำ ผลจากการชันสูตรศพพบว่ามีร่องรอยการล่วงละเมิดทางเพศ และกะโหลกศีรษะแตก เธอถูกฆาตกรรม!!

คดีนี้กลายเป็นข่าวพาดหัวที่โด่งดัง ที่มีการพูดถึง "Little Miss Christmas" นางงามรุ่นเยาว์ที่เดินสายประกวดและคว้ามงกุฎจากหลายเวที และแม้จะผ่านมานานกว่า 20 ปี ก็ยังหาตัวฆาตกรที่สังหารเธอไม่ได้ 

สำหรับคดีอันโด่งดังที่ปิดไม่ลง (Cold Case) ที่ตำรวจไขปริศนาไม่ได้ ย่อมเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับเจ้าหน้าที่สืบสวนสมัครเล่น พวกเขาขอร้องให้ตำรวจเมืองบูลเดอร์รื้อคดีขึ้นมาใหม่ด้วยหลักฐานสำคัญ เช่น เล็บมือ, กางเกงชั้นใน, ชุดกันหนาวชั้นใน (long johns) เข้ารับการตรวจโดยวิทยาการสมัยใหม่ รวมทั้งการตรวจ DNA และเทคโนโลยีวงศาวิทยา (genealogical technology) เพื่อหาฆาตกรตัวจริง 

ซินดี้ สมิท-มาร์รา (Cindy Smit-Marra) ลูกสาวของนักสืบชื่อดัง ลู สมิท (Lou Smit) ที่เป็นคนแรกที่เสนอ "ทฤษฎีผู้บุกรุก" ที่บอกว่าครอบครัวแรมซีย์ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมลูกสาวของพวกเขา สมิท-มาร์รากับทีมสืบสวนอาสาสมัครอีก 12 คน ได้สนับสนุนทฤษฎีของพ่อของเธอ และขอให้ตำรวจทดสอบหลักฐานโดยเฉพาะรอยขูดขีดที่เล็บของเด็ก 

ถ้าจอนเบเนต์ยังมีชีวิตอยู่ เธอก็จะได้ฉลองครบรอบวันคล้ายวันเกิดในวันเสาร์ (13 สิงหาคม) นี้ ในช่วง 16 ปี หลังการเสียชีวิตของเธอ มีเรื่องราวของเธอถูกเผยแพร่ในรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งหนังสือและสารคดีสำหรับทีวี และ มีหลายคนเริ่มเชื่อว่าเป็นฝีมือของคนในครอบครัว มีการตั้งข้อสังเกตว่าตัวเลขค่าไถ่ที่คนร้ายตั้งไว้ 118,000 ดอลลาร์ ตรงกับจำนวนเงินที่จอห์นได้รับโบนัสประจำปีจากบริษัท ส่วนลายมือในจดหมายก็อาจเป็นฝีมือของแพตซี เพื่อหลอกล่อให้เจ้าหน้าที่หลงทางในการสืบสวน บางคนถึงขั้นคิดว่าอาจะเป็นฝีมือของเบิร์ก (Berg) พี่ชายวัย 9 ขวบ แต่ข้อสงสัยเหล่านี้ก็ขาดหลักฐานสนับสนุน

ศพของจอนเบเนต์ถูกนำไปฝังที่เมืองมาเรียตตาในรัฐจอร์เจีย บ้านเกิดของแพตซี ที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งในปี 2549 และศพของเธอถูกฝังใกล้กับหลุมศพของลูกสาว ส่วนจอห์นแต่งงานใหม่หลังจากนั้นและย้ายออกจากเมืองบูลเดอร์

คดีของจอนเบเนต์กลับมาฮือฮาในปี 2549 เมื่อ จอห์น มาร์ก คาร์ (John Mark Karr) ครูสอนภาษาอังกฤษ ที่ขณะนั้นมีวัย 41 ปี ถูกจับที่ประเทศไทย และ ให้การรับสารภาพว่าเป็นคนสังหารจอนเบเนต์ แต่เมื่อส่งตัวไปดำเนินคดีที่รัฐโคโลราโดก็ไม่พบหลักฐานเอาผิด DNA ของเขาไม่ตรงกับ DNA บนศพเหยื่อ จน ได้ข้อสรุปว่าเขาแค่อยากดัง ในที่สุดอัยการจำต้องปิดสำนวนฟ้องในปี 2541 และคดีถูกถอดถอนทั้งที่ยังปิดไม่ลง 

นักวิจัยชี้ว่าคดีนี้ได้รับความสนใจจากสื่อมากเป็นพิเศษ เพราะเกิดช่วงคริสต์มาสและปีใหม่ที่ไม่ค่อยมีประเด็นข่าวให้พาดหัว แต่ความพยายามสร้างประเด็นดราม่าในสมัยนั้น ได้ทำร้ายครอบครัวแรมซีย์ให้กลายเป็นแพะทั้งที่เป็นผู้สูญเสีย ตอนนี้ความหวังจึงอยู่กับทีมสืบสวนชุดใหม่ที่อาจช่วยไขคดีว่าใครเป็นคนร้ายตัวจริง และสื่อได้สร้างความเสียหายให้ผู้บริสุทธิ์มากมายเพียงใด