พล.ต.ต.เอกราช ลิ้มสังกาศ ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง ( ผบก.ทล. ) สั่งการให้ พ.ต.ท.ณรงค์ฤทธิ์ งามแฉ่ง สารวัตรใหญ่ สถานีทางหลวง 1 กก.8 บก.ทล. และเจ้าหน้าที่กรมทางกหลวง ร่วมกันแถลงผลจับกุมนายธีรภัทร์ (สงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาลักบัตรค่าผ่านทางด่วนมอเตอร์เวย์ ไว้ลงเพื่อลดค่าผ่านทาง โดยจับกุมได้บริเวณด่านบางปะกง ต.บางปะกง อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา
พ.ต.ท.ณรงค์ฤทธิ์ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากประมาณต้นเดือนพฤษจิกายน 2564 ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารจัดเก็บค่าทำเนียม ด่านอู่ตะเภา ว่า มีกลุ่มคนมีพฤติกรรมรับบัตรผ่านทางจากตู้อัตโนมัติ ครั้งละ 2 ใบ โดยปกติรถ 1 คันจะต้องรับครั้งละ 1 ใบ ตำรวจจึงประสานฝ่ายบริหารจัดเก็บค่าผ่านทาง เจ้าหน้าที่กรมทางหลวง ฝ่ายบริหารจัดการจราจรกองทางพิเศษระหว่างเมือง หน่วยกู้ภัยมอร์เตอร์เวย์มาบตาพุด และส่วนที่เกี่ยวข้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้าติดตามกลุ่มบุคคลดังกล่าว
“ต่อมา วันที่ 20 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ด่านอู่ตะเภาพบรถยนต์กระบะต้องสงสัย จึงให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงทำการตรวจสอบจนกระทั่งพบว่า ผู้ขับขี่รถคันดังกล่าว มีอาชีพช่างไฟฟ้า จากการตรวจค้นรถพบบัตรผ่านทางอีก 20 ใบ จากการสอบสวนทราบว่า ที่เกิดเหตุอาจจะเกิดความคึกคะนอง เห็นครั้งแรกทำได้จึงทำครั้งต่อมาเรื่อยๆ จึงได้ทำการจับกุมส่งพนักงานสอบสวน สภ.บ้านฉาง จ.ระยอง ดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนผู้ก่อเหตุลักษณะเดียวกันที่ผ่านมามีประมาณ 4-5 คัน เจ้าหน้าที่จะเร่งดำเนินการตรวจสอบกรณีดังกล่าวต่อไป” พ.ต.ท.ณรงค์ฤทธิ์ กล่าว
ด้าน นายบุญเพิ่ม เรียงไธสง ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารจัดเก็บเงินค่าทำเนียม กรมทางหลวง กล่าวว่า ด่านเก็บเงินมีหน้าที่ให้บริการและรวบรวมข้อมูลที่มีการกระทำผิด จึงประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการตรวจสอบ ฝากประชาชนรับบัตรเพียงใบเดียว หากรับเกินกว่า 1 ใบถือว่าจงใจทุจริตจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
ขณะที่ นายอนุพงษ์ อ่างทอง เจ้าหน้าที่เทคโนโลยีระบบจัดเก็บเงินค่าทำเนียม กล่าวว่า กรณีดังกล่าวจะมีการบันทึกข้อมูลรถ ถ้าเอาบัตรใกล้ๆ ทางลงจุดที่ใกล้กันราคาถูกลง ส่วนแนวทางแก้ไขปัญหาอยู่ที่สามัญสำนึกของคนใช้ ข้อเท็จจริงบัตรจะถูกล้างข้อมูลไป แต่ถ้าเก็บไว้ก็จะมีข้อมูลเก่าแล้วนำกลับมาใช้
เบื้องต้นแจ้งข้อหา “ลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดเพื่อการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุมและใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบในการประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน”