19 กรกฎาคม 2565 พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เปิดเผยถึงการแก้ไขปัญหาและการเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจ โดยสืบเนื่องจากการประชุม สมช. เมื่อวันที่ 4 ก.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธาน มีหน่วยงานที่เป็นสมาชิกสภาความมั่นคง และรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจที่ได้เชิญมาในวาระพิเศษเข้าร่วมการประชุม โดยมีเลขาธิการ สมช. เป็นฝ่ายเลขานุการ
ทั้งนี้ ในที่ประชุมได้มีการประเมินสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ การกดดันระหว่างคู่ขัดแย้งด้วยเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ และการใช้นโยบายด้านการต่างประเทศของประเทศมหาอำนาจ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงทั้งต่อระบบเศรษฐกิจของโลก ของภูมิภาค และประเทศไทย ทั้งในปัจจุบันที่กำลังเป็นอยู่ หรือแม้ว่าเหตุการณ์ความขัดแย้งจะยุติลงเมื่อใดก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวจะยังคงส่งผลกระทบต่อเนื่องไปอีกในระยะ 6 เดือน ถึง 1 ปี
อย่างไรก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาราคาพลังงาน และการขาดแคลนพลังงาน จะเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อระบบการขนส่ง ภาคธุรกิจ ทำให้สินค้าอุปโภคบริโภคมีราคาสูงขึ้น จนอาจกลายเป็นวิกฤตพลังงานและอาหาร นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบถึงระบบการเงินการคลังของประเทศต่าง ๆ เป็นวงกว้างด้วย ถึงแม้ที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกมาตรการและนโยบายในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยเร่งด่วนมาเป็นลำดับ
ประกอบกับการเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวและการส่งออกอย่างเต็มที่ แต่ยังคงเป็นความท้าทายที่รัฐบาลต้องรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนและการขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจของประเทศให้น้อยที่สุด ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบตามข้อเสนอของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่ได้จากการประชุมหารือกับส่วนราชการและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
เห็นชอบให้มีการตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบริหารสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจ และคณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจ เพื่อบริหารสถานการณ์และกำหนดมาตรการที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ โดยบูรณาการการทำงานของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐรวมทั้งภาคเอกชนและทุกภาคส่วน ให้สามารถแก้ไขและบรรเทาผลกระทบที่มีต่อประชาชนได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งสามารถกำกับติดตามและเร่งรัดการดำเนินการต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะเดียวกัน เห็นชอบมาตรการและแนวทางการแก้ไขปัญหา ตลอดจนแผนเตรียมความพร้อมรองรับวิกฤตการณ์ด้านพลังงานและอาหาร ทั้งในระยะเร่งด่วน ระยะสั้น และระยะยาว โดยมอบหมายให้คณะอนุกรรมการฯ ที่จะจัดตั้งขึ้นไปพิจารณาเพิ่มเติมให้เกิดความรอบคอบมากขึ้น และเป็นไปตามข้อสังเกตที่ได้จากที่ประชุมโดยเร่งด่วน
ปัจจุบัน พล.อ.ประยุทธ์ ได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจฯ และคณะอนุกรรมการ เรียบร้อยแล้ว โดยคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบริหารสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจ ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน รองนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเป็นรองประธาน รัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจเป็นกรรมการ ปลัดกระทรวงด้านเศรษฐกิจเป็นกรรมการ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เป็นกรรมการ
ส่วนคณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจ ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานอนุกรรมการ ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจเป็นอนุกรรมการ มีผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ
ส่วนการทำหน้าที่ของคณะกรรมการ และคณะอนุกรรมการ ดังกล่าว จะมีลักษณะเดียวกันกับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ฝ่ายเศรษฐกิจ ที่มีการนำหน่วยงานทางเศรษฐกิจ เข้ามาหารือและบูรณาการการทำงานร่วมกันในการวิเคราะห์ประเมินสถานการณ์และผลกระทบที่เกิดจากสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจ การให้ข้อเสนอแนะและความเห็นต่อรัฐบาลในการแก้ปัญหาในภาพใหญ่ของประเทศ และบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน การกำหนดแนวทางการบูรณาการ และขับเคลื่อนมาตรการและกลไกต่างๆ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ ปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อเร่งรัดให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งให้มีการกำกับติดตามและประเมินผลด้วย
นอกจากนี้ จะจัดทำแผนเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ในระดับวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งจะได้กำหนดรายละเอียดและวิธีปฏิบัติตามห้วงเวลาที่สอดคล้องกับสถานการณ์ ทั้งนี้ จะมีการเชิญภาคเอกชนและภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาร่วมในการดำเนินการด้วย ซึ่งจะเห็นได้ว่า การจัดตั้งกลไกของคณะกรรมการ และ คณะอนุกรรมการนี้ จะเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐบาลในการแก้ไขและบรรเทาผลกระทบของเศรษฐกิจโลก การค้าการลงทุน พลังงาน อาหาร เงินเฟ้อ เพื่อดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนให้สามารถแก้ไขปัญหาไปในทิศทางเดียวกันอย่างรวดเร็วและทันเวลา
อย่างไรก็ตาม ยังต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากทุกภาคส่วน และประชาชนในทุกทางที่สามารถทำได้ เช่น การประหยัดพลังงาน หรือการให้ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ รวมทั้งการให้ข้อเสนอแนะมาตรการเพิ่มเติมแก่รัฐบาลเพื่อให้ครอบคลุมการแก้ไขปัญหาในมิติทางเศรษฐกิจโดยตรงและในมิติที่เกี่ยวข้อง เช่น สังคม ความมั่นคง และผลกระทบจากปัญหาโควิดที่ยังไม่ยุติ
สำหรับเรื่องเร่งด่วนที่เป็นข้อกังวลที่คณะอนุกรรมการ จะต้องใช้ฐานข้อมูลเดิมที่สภาความมั่นคงแห่งชาติรวบรวมไว้ และพิจารณาข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เพื่อประเมิน วิเคราะห์และจัดทำข้อเสนอการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน คือ เรื่องราคาพลังงาน การประหยัดพลังงาน การควบคุมราคาสินค้า และมาตรการด้านการเงินการคลังเพื่อไม่ให้เกิดความเสียต่อเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้คณะอนุกรรมการได้เริ่มขับเคลื่อนแล้ว และคาดว่าท่านนายกรัฐมนตรีและรรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจฯ จะเรียกประชุมในเร็วๆ นี้
"เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกือบทุกประเทศทั่วโลกได้รับผลกระทบอย่างหนัก และรัฐบาลของทุกประเทศกำลังแก้ไขปัญหากันอย่างสุดความสามารถ รวมทั้งรัฐบาลไทยด้วย ในฐานะที่เราเป็นประชาชนคนไทย และเป็นเจ้าของประเทศร่วมกัน ทางหนึ่งที่จะร่วมกันแก้ไขปัญหานี้ได้คือการประหยัดพลังงาน จะมีส่วนช่วยได้ทั้งภาพรวมของประเทศและตัวเราเองด้วย"