ในขณะที่ตำรวจยังคงสืบสวนไปสู่การเสียชีวิตของเด็กหญิงวัย 2 ขวบ ที่พลัดตกจากหน้าต่างชั้น 8 ของอาคารพักอาศัยในเมืองหังโจว มณฑลเจ้อเจียงของจีน พ่อของเด็กยังคงทำใจไม่ได้กับทฤษฎีที่ว่า ลูกสาวของเขาพลัดตกลงไปโดยอุบัติเหตุ โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นเหตุการณ์จากกล้องวงจรปิดก่อนหน้านั้นว่า เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ลูกสาวตัวน้อยที่เขาตั้งชื่อว่า "เชอร์รีน้อย" ที่เพิ่งอยู่บนโลกใบนี้ได้เพียง 21 เดือน กับ 26 วัน ถูกพี่เลี้ยง "แซ่อู๋" ลืมไว้ในลิฟต์
เหตุการณ์ในวันนั้น เริ่มต้นตอนที่พี่เลี้ยงแซ่อู๋พาเชอร์รีน้อยและสกู๊ตเตอร์เข้าไปลิฟต์ ซึ่งขณะอยู่ในลิฟต์พี่เลี้ยงมัวแต่จดจ่ออยู่กับโทรศัพท์ ก่อนจะจูงสกู๊ตเตอร์ออกไปโดยลืมเด็กไว้ และดูเหมือนจะรู้ตอนที่ลิฟต์กำลังปิด ปล่อยให้เชอร์รีน้อยร้องไห้ด้วยความตกใจและหวาดกลัว ลิฟต์ค้างอยู่ประมาณ 30 วินาที ก่อนพาเด็กขึ้นไปชั้นที่ 8 และ เด็กเดินออกไปตอนที่ประตูลิฟต์เปิด โดยไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น หลังเกิดเรื่องพ่อของเด็กได้ไปแจ้งความ ส่วนพี่เลี้ยงก็ได้รับการประกันตัวในช่วงที่ตำรวจกำลังสืบสวน
จากการสำรวจพื้นที่วันเกิดเหตุพบว่า หน้าต่างของชั้นที่ 8 ที่สูงจากพื้น 40 เซ็นติเมตร เปิดอยู่ สนับสนุนทฤษฎีที่ว่าเด็กที่อยู่อาการตกใจอาจปีนและตกลงไปเอง แต่พ่อเด็กโทษว่าเป็นความผิดของพี่เลี้ยงที่ละเลย ไม่บอกความจริงกับเขาตั้งแต่แรกว่าเกิดอะไรขึ้น ทำให้ครอบครัวไปตามหาตัวเด็กผิดที่ ก่อนที่พ่อของเด็กจะชะโงกหน้าต่างชั้น 2 ไปเจอลูกสาวนอนอยู่ที่ระเบียง เขาต้องปีนหน้าต่างลงไปอุ้มลูกสาวขึ้น ซึ่งเวลาได้ล่วงเลยไปถึง 40 นาทีนับตั้งแต่เกิดเหตุ เขาบอกว่าตอนนั้นเชอร์รีน้อยยังหายใจและขยับตัวได้
พ่อเด็กตะโกนขอความช่วยเหลือและมีพลเมืองดีช่วยกันพาส่งโรงพยาบาล และใช้เวลานานกว่าหนึ่งชั่วโมงนับตั้งแต่เกิดเรื่อง แพทย์พยายามยื้อชีวิตแต่ล้มเหลว โดยบอกว่ามาช้าเกินไป... ไม่น่าเชื่อว่าโศกนาฎกรรมครั้งนี้จะเกิดขึ้น เพราะพี่เลี้ยงแซ่อู๋มีใบรับรองการเป็นพี่เลี้ยงที่เชี่ยวชาญ และได้รับการว่าจ้างผ่านเอเจนซี่โดยตรง ซึ่งวันเกิดเหตุเป็นวันที่ 7 ของการทำงาน
พ่อผู้สูญเสียบอกว่าเขาแทบจะทนดูคลิปวิดีโอเหตุการณ์ในลิฟต์ไม่ได้ ต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะทำใจดู เพราะทุกครั้งที่ดูก็หัวใจสลายเขาก๊อบปี้คลิปวิดีโอและนำมาตัดต่อใหม่ ใช้เวลา 8 วันหลังเกิดเหตุ และเผยแพร่ออกไป ส่วน พี่เลี้ยงบอกว่ารู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และน้อมรับผิดตามกระบวนการทางกฎหมาย เธอยอมรับเรื่องที่ดูโทรศัพท์แต่ไม่ถึงขั้นจดจ่อ และพยายามจะช่วยเด็กแล้ว ส่วนพ่อของเด็กบอกว่าอยากให้ทุกคนได้ตระหนักถึงอุตสาหกรรมพี่เลี้ยงเด็ก ที่ควรจะมีมาตรฐานสูงกว่านี้และกฎหมายก็ต้องเข้มงวดกว่านี้ด้วย