ย้อนรำลึก "ชินโซ อาเบะ" จากปกนิตยสาร TIME
นิตยสาร TIME นำนายชินโซ อาเบะ กลับมาขึ้นปกอีกครั้งเพื่อแสดงความไว้อาลัย หลังจากก่อนหน้านี้นายอาเบะเคยขึ้นปกมาแล้ว 3 ครั้ง อันแสดงให้เห็นถึงการได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางบนเวทีโลก แต่สำหรับชาวญี่ปุ่นเขาคือบุคคลที่พยายามกอบกู้บ้านเมืองในยามวิกฤต
ปกนิตยสาร TIME ฉบับล่าสุด (10 กรกฎาคม) เป็นภาพขาว-ดำของนายชินโซ อาเบะ และไร้ข้อความใด ๆ นอกจากตัวเลข 1954-2022 เพื่อไว้อาลัยอดีตนายกรัฐมนตรีวัย 67 ปี ที่ถูกลอบสังหารเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ขณะกำลังปราศรัยหาเสียงช่วยสมาชิกพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ที่จังหวัดนารา ซึ่งนอกจากภาพปกต้องการสื่อถึงอิทธิพลของนายอาเบะที่มีต่อญี่ปุ่นแล้ว เรื่องประกอบในเล่มที่พาดหัวว่า "Shinzo Abe Rewrote Japan's Place in the World. And Remained a Power Broker Until the Very End," ยังบอกเล่าเรื่องราวของอดีตผู้นำที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ และยกระดับภาพลักษณ์ของญี่ปุ่นบนเวทีโลก
นายอาเบะเป็นหนึ่งในผู้นำไม่กี่คนที่ได้ขึ้นปก TIME เกิน 3 ครั้ง โดยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยแรก (2549-2550) ตอนนั้น TIME ฉบับวันทื่ 18 กันยายน 2549 ใช้คำว่า "ใครคือ ชินโซ อาเบะ" (Who is Shinzo Abe) และขยายความว่า "สำหรับผู้สนับสนุน เขาคือบุคคลที่พร้อมจะเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งเพื่อฟื้นฟูชาติ แต่สำหรับนักวิจารณ์ เขาเป็นนักการเมืองชาตินิยมที่อันตราย" ซึ่งขณะนั้นนายอาเบะเป็นนักการเมืองที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2
นายอาเบะขึ้นปกครั้งที่ 2 (ฉบับเอเชีย) ตอนที่กลับมาดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 ที่ยาวนานถึง 7 ปี (2555-2563) ตอนนั้นเขากำหนดกรอบกฎหมายเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ญี่ปุ่นมีกองทัพอย่างเป็นทางการภายในปี 2563 ตอกย้ำเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเขามีมุมมอง "สายเหยี่ยว" ต่อการปฏิรูปกองทัพ และจุดยืนของเขาที่ว่าญี่ปุ่นถูกตัดสินอย่างไม่เป็นธรรมโดยประวัติศาสตร์ แต่เรื่องนี้ถูกยกเลิกเพราะมีเรื่องอื่นให้ต้องกังวล และสิ่งที่ชาวญี่ปุ่นต้องการมากที่สุดในขณะนั้นคือ การปฏิรูปทางการแพทย์, เงินบำนาญ การดูแลผู้สูงอายุที่ดีกว่าเดิม และมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น
นายอาเบะกลับมาขึ้นปก TIME อีกเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2557 กับคำว่า "The Patriot" เขาให้สัมภาษณ์ว่า "ญี่ปุ่นกำลังค้นหาจิตวิญญาณของตัวเอง" ทั้งจากเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554 ที่นำไปสู่วิกฤตโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ และจีนกำลังก้าวข้ามญี่ปุ่นขึ้นไปเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลก เขายังพูดถึงโลกทัศน์และสิ่งที่ทำให้เขาก้าวต่อไปว่า "ผมเป็นผู้รักชาติ" พูดถึงนโยบายต่างประเทศว่า "ผมขอให้คำมั่นว่าจะไม่ทำสงครามอีก เราต้องสร้างโลกที่ปราศจากความทุกข์ทรมานจากการทำลายล้างของสงคราม"
เขายังพูดถึงเรื่องการรับมือกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ด้วยว่า
"ตั้งแต่ผมเป็นนักการเมือง ผมมักถูกวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งที่ผมพยายามทำในสิ่งที่ผมเชื่อว่าถูกต้อง แต่อย่างไรก็ตามถ้าคุณมัวสนใจเสียงวิจารณ์ ผมคิดว่าคุณก็ไม่สามารถปกป้องชีวิตผู้คนได้"