
จากกรณีเพจเฟซบุ๊คชื่อว่า เพื่อนข่าวสายเจาะ บางแสน ได้โพสต์ ภาพเด็กนักเรียนหญิงยืนลวกก๋วยเตี๋ยวอยู่หน้าร้าน โดยมีข้อความว่า “ เรียนก็ต้องเรียน..หลังเลิกเรียนการบ้านก็มีทำ..ปากท้องก็ต้องสู้..ชีวิตลูกแม้ค้ามันลำบากอาจจะไม่ค่อยมีเวลาแบบลูกใครเค้า..สู้ๆนะเพื่ออนาคตของเรา!!!ถนน สุขประยูร ร้านหน้าปากทางเข้าโรงเรียนพานทองต้นสน..(หนองตำลึง) ”
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยัง ร้านก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำตก หมูตุ๋น ริมถนนศุขประยูร ปากทางเจ้าโรงเรียนพานทอง หมู่ที่ 1 ต.หนองตำลึง อ.พานทอง จ.ชลบุรี ได้พบกับ น.ส.นัทริดา แหล่งหล้า อายุ17 ปี นักเรียนโรงเรียนพานทอง (ต้นสน) ชั้น ม.5 ซึ่งอยู่ในชุดนักเรียนยืนลวกก๋วยเตี๋ยวอยู่จึงได้สอบถาม ได้ความว่า หลังเลิกเรียนมาช่วงบ่าย 3โมงก็จะมาช่วยที่ร้านซึ่งเป็นร้านของคนรู้จักที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งจะช่วยแบบนี้ทุกวัน จนถึงเวลาประมาณตี 2หลัง
จากนั้นก็จะกลับไปพักผ่อนและเช้าจะตื่นไปโรงเรียนตามปกติซึ่งก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรมากนักทางผู้สื่อข่าวได้ถามถึงสาเหตุก็ได้บอกว่าที่ออกมาทำงานแบบนี้เพราะต้องหารายได้เพื่อนำไปใช้จ่ายที่โรงเรียนและเป็นทุนการศึกษาในอนาคต ซึ่งตนกับพ่อแม่นั้นไม่ได้อยู่ด้วยกันตนอยู่กับย่าเพียง 2คนซึ่งย่าก็แก่มากแล้วแถมยังมีโรคประจำตัวอีก ซึ่งพ่อแม่ของตนนั้นไปทำงานก่อสร้างใน กทม. จึงอยากแบ่งเบาภาระของพ่อแม่อีกทางเพราะช่วงนี้เศรษฐกิจแบบนี้ทางไหนพอหาเงินได้ ก็หาเงินเพื่อเก็บเป็นทุนในการเรียนในอนาคตจะได้ไม่ลำบากพ่อแม่ด้วย
ต่อมานางสาวพัชรินทร์ พลเภา อายุ 39 ปี เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยว ได้เล่าให้ฟังว่า น้องน่าสงสารเนื่องจาก พ่อและแม่น้องนั้นทำอาชีพก่อสร้างซึ่งต้องย้ายที่ทำงานบ่อยๆและในช่วงที่เจอกับน้องนั้นพ่อและแม่ของน้องได้มาก่อสร้างบ้านในละแวกบ้านของตัวเองซึ่งตอนนั้นน้องยังเล็ก และเมื่อสร้างบ้านเสร็จก็ย้ายไปโดยที่ให้น้องอยู่กับย่าเพียงลำพังซึ่งบ้านที่อยู่นั้นเป็นบ้านที่อยู่ใกล้กับบ้านและทางผู้รับเหมาที่เคยมารับเหมาก่อสร้างนั้นไม่ได้จ่ายเงินค่าน้ำค่าไฟจึงทำให้บ้านของน้องนั้นไม่มีไฟฟ้าและน้ำประปาใช้ เห็นใจจึงได้ต่อไฟที่บ้านให้และน้ำประปาน้องก็ต้องซื้อใช้เอง (30/15 หมู่ 2 นาป่า) และน้องหลังเลิกเรียนจะมาช่วยขายของทุกวันตั้งแต่15.00 น. จนถึง 02.00 น.
โดยจะทำทุกอย่างตั้งแต่ลวกก๋วยเตี๋ยวจนถึงเสริม และหลังจากนั้นก็กลับไปพักผ่อนและในช่วงเช้าน้องก็ตื่นไปโรงเรียนตามปกติ ซึ่งได้จ่ายค่าจ้างให้น้องทุกวันวันล่ะ 200-300 บาท โดยน้องจะแบ่งเป็นเงินที่นำไปใช้ที่โรงเรียนและเงินเก็บโดยนางสาวพัชรินทร์ ยังกล่าวอีกว่าน้องได้อาศัยอยู่กับย่าเพียง 2 คนซึ่งตอนนี้ย่าเริ่มที่จะมองไม่เห็นแล้วซึ่งเกิดจากโรคต้อกระจก