การพลัดถิ่นทั่วโลกสูงทำลายสถิติ ทะลุ 100 ล้านคน

สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ UNHCR เปิดเผยรายงานแนวโน้มผู้ลี้ภัยประจำปี พบว่าจำนวนผู้ลี้ภัยหรือผู้พลัดถิ่นที่ถูกบังคับให้หนีออกจากบ้านของตัวเองเพื่อหลบหนีการประหัตประหาร ความขัดแย้ง หรือการละเมิดสิทธิมนุษยชน เพิ่มขึ้นทุกปีตลอดทศวรรษที่ผ่านมา และได้แตะระดับสูงสุดที่เคยมีการบันทึกไว้อีกครั้งในปีนี้ จากการรุกรานของรัสเซียในยูเครน รวมไปถึงสถานการณ์ฉุกเฉินและความรุนแรงที่ยังคงเกิดขึ้นในแอฟริกา อัฟกานิสถาน และประเทศอื่นๆ ทำให้ตัวเลขผู้พลัดถิ่นทั่วโลกขณะนี้ ดันสถิติเพิ่มสูงถึง 100 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากเมื่อปลายปีที่แล้ว ที่มีอยู่ประมาณ 89.3 ล้านคน นับเป็นวิกฤตการพลัดถิ่นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง

จำนวนผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่า หากเทียบกับเมื่อ 10 ปีที่แล้ว โดยมีอัตราการเพิ่มเฉลี่ยอยู่ที่ 8% ต่อปี จากปัญหาความรุนแรงและสงครามที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยปีที่แล้วเกิดความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นและที่ปะทุขึ้นใหม่ให้เห็นใน 23 ประเทศ มีประชากรกว่า 850 ล้านคน ที่ต้องเผชิญกับความตึงเครียดของความขัดแย้งในระดับกลางหรือระดับสูง ตามข้อมูลจากธนาคารโลก

ในขณะเดียวกัน วิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรงในหลายประเทศ และวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ทำให้ประชาชนทั่วไป ที่แม้จะไม่ได้เป็นผู้ลี้ภัยหรือผู้พลัดถิ่น ใช้ชีวิตลำบากยิ่งขึ้น ขยายขอบเขตผลกระทบไปยังการดำเนินงานของ UNHCR เพื่อช่วยเหลือผู้ลี้ภัย เพราะเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ผู้คนก็บริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ลี้ภัยน้อยลง ทำให้ตอนนี้ งบประมาณที่คาดการณ์เอาไว้ยังคงขาดแคลนอีกมาก และอาจนำไปสู่วิกฤตด้านมนุษยธรรมในอนาคต

อย่างไรก็ตาม รายงานแนวโน้มประจำปีของ UNHCR ยังมีข้อมูลที่ดูแล้วมีความหวังให้เห็นอยู่บ้าง เมื่อจำนวนผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นภายในประเทศที่ได้เดินทางกลับมาตุภูมิในปี 2021 มีจำนวนเพิ่มขึ้น กลับไปสู่ระดับเดิมก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยการเดินทางกลับบ้านด้วยความสมัครใจเพิ่มขึ้น 71%

นายฟิลลิปโป กรันดี ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ กล่าวว่า “ชุมชนระหว่างประเทศต้องร่วมกันลงมือทำเพื่อช่วยเหลือโศกนาฏกรรมของมนุษยชน แก้ไขความขัดแย้ง และหาทางออกที่ยั่งยืน ไม่เช่นนั้นแนวโน้มที่เลวร้ายนี้จะยังคงดำเนินต่อไป”