ส่งออกครึ่งปีหลังโตต่อเนื่อง! สรท.ขยับเป้าเพิ่ม 8%
สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ชี้ส่งออกครึ่งปีหลังยังโตต่อ ปรับเป้าทั้งปีจากเดิม 5 % เป็น 8 % แต่ยังจับตาปัจจัยราคาพลังงาน ค่าระวางเรือและสงครามยืดเยื้อ
ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย หรือ สรท. ชัยชาญ เจริญสุข ระบุ สรท. ได้ปรับเป้าการส่งออกไทยในปี 2565 จาก 5 % เป็น 8 % มูลค่า 292,934 ล้านดอลลาร์ ภายใต้สมมุติฐาน ค่าเงินบาทต้องอยู่ในระดับ 34.50 - 35.50 บาทต่อดอลลาร์ ทิศทางราคาน้ำมันอยู่ในช่วง 100-115 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ปริมาณตู้คอนเทนเนอร์เพียงพอต่อความต้องการส่งออกและค่าระวางเรือไม่สูงไปมากกว่าปีที่แล้ว
“การส่งออกใน 4 เดือนแรกภาพรวมการส่งออกของไทยมีอยู่ในกระเป๋าแล้ว 5 % ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่ทั้งปีจะโต 8% ขณะที่ไตรมาส 2 คาดการณ์การส่งออกเติบโต 3 - 5%”
ทั้งนี้ปัจจัยบวกที่ทำให้การส่งออกไทยยังขยายตัวต่อเนื่องมาจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น สหรัฐ อาเซียน เติบโตต่อต่อเนื่องประกอบกับมีอุปสงค์ทรงตัวในระดับสูง ขณะที่จีนเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ในบางพื้นที่สำคัญแล้วและดัชนีผู้จัดการฝ่ายการผลิตโลก(PMI) ของประเทศคู่ค่าสำคัญที่ยังทรงตัวอยู่เหนือเส้น Baseline ระหว่าง50-60 สะท้อนการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของกิจกรรมการผลิตและเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ ช่วงเวลาที่เหลืออีก 8 เดือน หากจะให้การส่งออกปีนี้ขยายตัวได้ 5% ต้องมีการส่งออกเฉลี่ยเดือนละ 23,446 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้การส่งออกมีมูลค่ารวมทั้งปี 284,797 ล้านดอลลาร์ แต่หากต้องการให้ขยายตัวได้ 8% ต้องส่งออกเฉลี่ยเดือนละ 24,802 ล้านดอลลาร์
สำหรับตลาดที่คาดว่าจะขยายตัวได้ในครึ่งปีหลังที่จะเป็นแรงหนุนการส่งออกของไทยคือ ตลาดอาเซียน อินเดีย จีน และตะวันออกกลาง โดยเฉพาะจีนคาดว่าจะขยายตัวมาก จากการเปิดประเทศ แม้ว่าในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมาตลาดจีนจะติดลบ 7.13 เนื่องจากการจีนใช้มาตรการล็อคดาวน์
นายชัยชาญ กล่าวว่า ขณะนี้มี 14 ประเทศที่ใช้มาตรการระงับส่งออกสินค้าอาหารเพื่อป้องกันการขาดแคลนอาหารในประเทศ แต่ผู้ส่งออกยังเห็นว่า ไทยยังสามารถส่งออกสินค้าเกษตร อุตสาหกรรม ได้อย่างปกติ ไม่ว่าจะเป็นข้าว มันสำปะหลัง ไก่สด แช่เย็น แช่เข็ง อาหารสัตว์เลี้ยง สัตว์น้ำสดและแช่แข็ง เป็นต้น มีเพียงสินค้าปุ๋ยเท่านั้นที่มีปัญหา ซึ่งรัฐบาลควรมีมาตรการออกมาช่วยเหลือ
อย่างไรก็ตามยังคงต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคสำคัญในปี 2565 ได้แก่ 1. ราคาพลังงานทรงตัวในระดับสูง 2. สถานการณ์อัตราเงินเฟ้อโลกที่เพิ่มขึ้นเป็น 9.2% (YoY) 3.สถานการณ์ระวางเรือยังคงตึงตัวในหลายเส้นทาง 4. ปัญหาวัตถุดิบขาดแคลนและราคาผันผวน