
ผ่านไปแล้วหนึ่งวัน สำหรับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 วงเงิน 3.185 ล้านล้านบาท วาระแรก โดยเมื่อวานมีฉากเด็ดที่พูดถึงกันมากเรื่องหนึ่ง หลังจากที่นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ตั้งข้อสังเกตว่าการจัดสรรงบประมาณมีลักษณะส่อโกง เอื้อพรรคร่วมรัฐบาล คล้ายกับว่า นายกรัฐมนตรี ถูกพรรคร่วมรัฐบาลเรียกค่าไถ่ เพื่อให้ได้อยู่ยาวในอำนาจ
กระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ลุกขึ้นชี้แจงทันทีว่า การตัดงบประมาณนั้นเกิดขึ้นในชั้นของฝ่ายนิติบัญญัติ ปี 2565 พบว่ามีการเสนองบลงทุน รวม 6.2 แสนล้านบาท แต่เมื่อถึงขั้นการพิจารณาฝ่ายนิติบัญญัติ กรรมาธิการฯ ปรับลดรวม 1.2 หมื่นล้านบาท เหลือ 6.1 แสนล้านบาท และที่ระบุว่าเมื่อสภาปรับงบนำมาไว้ในงบกลาง ตนไม่สามารถสั่งใช้ได้เอง ต้องเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) และงบประมาณที่ใช้ต้องจัดสรรให้หน่วยรับงบประมาณ และโครงการที่รองบประมาณ ซึ่งการจัดสรรต้องสอดคล้องความต้องการในพื้นที่ โดยทุกปีเสนองบประมาณ ประมาณ 3 ล้านล้านบาท เสนอเกิน 50% เสนอมา 5 แสนล้านบาท
“การปรับลดต้องสอดคล้องความต้องการกับพื้นที่ ไม่เหมือนสมัยก่อนที่บางคนประกาศไม่เลือกพรรคตัวเอง จะไม่ให้งบ ดังนั้นจึงขอให้พิจารณาว่าแผนโครงการครอบคลุมทุกจังหวัดหรือไม่”
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่ออีกว่า
“ที่บอกว่าส่อโกง ต้องไปพิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรม หากมีหลักฐานฟ้องร้องกันไป ขอให้ท่านไปพิจารณาด้วยว่า การฟ้องร้องที่ผ่านมาเกิดอะไรในกระบวนการยุติธรรม ติดคุก หนีคดีหรือไม่” พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงทิ้งท้าย และเดินออกจากห้องประชุมสภาไปทันที
สำหรับวรรคทองดังกล่าว คอการเมืองฟังก็ทราบทันทีว่าหมายถึงใครไปไม่ได้ นอกจาก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้หนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ
พูดไว้เมื่อวันที่ 31 ต.ค.2548 ระหว่างเป็นประธานมอบหนังสือแสดงสิทธิสัญญาเช่าที่ราชพัสดุให้กับประชาชนตามโครงการรัฐเอื้อราษฎร์ ที่หอประชุมโรงเรียนบรรพตพิทยาคม อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ ระบุว่า จังหวัดนครสวรรค์ มีพื้นที่ 900 กว่าตารางกิโลเมตร ใหญ่กว่าสิงคโปร์ 2 เท่า แต่พัฒนายังไม่ทั่วถึง จากการที่รัฐมนตรีไปลงพื้นที่ในแต่ละอำเภอคงจะได้ข้อมูลมาช่วยกันพัฒนาจังหวัดนครสวรรค์ให้ดีขึ้น ต้องถือว่า จ.นครสวรรค์ได้มอบความไว้วางใจให้กับรัฐบาล โดยเลือก ส.ส.รัฐบาลทั้งจังหวัด แน่นอน อันนี้ตรงไปตรงมา ต้องได้สิทธิดูแลเป็นพิเศษ
“ผมตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม จังหวัดไหนมอบความไว้วางใจให้เราต้องดูแลเป็นพิเศษ แต่เราต้องดูแลคนทั้งประเทศด้วย แต่เวลาจำกัด ต้องเอาเวลาไปจังหวัดที่เราได้รับความไว้วางใจมากเป็นพิเศษ จังหวัดที่ไว้วางใจเราน้อยต้องเอาไว้ทีหลัง ไม่ใช่ไม่ไป คิวต้องเรียงอย่างนี้ ผมเป็นคนพูดตรงไปตรงมา เปิดเผย สื่อมวลชนอยู่ต้องเปิดเผย ไม่มีความลับสำหรับผม วันนี้คิดกับประชาชนอย่างไร ก็อยากเห็นคนทั้งประเทศไม่ว่าอยู่ที่ไหน เลือกหรือไม่เลือกผม ก็อยากให้ทุกคนหายจน แต่เนื่องจากเวลาจำกัดก็ต้องไล่ลำดับกันไป แต่เจ้าหน้าที่ก็ทำเหมือนกันหมดทั่วประเทศ”
คำกล่าวนี้ของนาย ทักษิณ เกิดขึ้นหลังจากการเลือกตั้งซ่อมใน 3 จังหวัดที่ พรรคไทยรักไทย ส่งผู้สมัครลงแข่งขันหลังผู้สมัคร 3 คนของพรรคได้รับใบเหลืองจาก กกต. แต่สามารถชนะการเลือกตั้งกลับเข้าสภามาได้เพียง 1 จังหวัด คือที่จังหวัดสิงห์บุรี ที่ชนะผู้สมัครจากพรรคชาติไทยกลับเข้ามาแบบฉิวเฉียด 700 กว่าคะแนน จากที่เคยชนะกว่า 2 หมื่นคะแนน ส่วนจังหวัดพิจิตรพ่ายแพ้ผู้สมัครจากพรรคมหาชนกว่า 17,000 คะแนน และแพ้พรรคชาติไทยในจังหวัดอุทัยธานี ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศว่าเป็นบ้านเกิดของพ่อตาที่จะต้องเอาชนะให้ได้ เกือบ 1 หมื่นคะแนน
โดยคำพูดดังกล่าว แม้เวลาจะล่วงเลยมากว่า 17 ปี แต่พรรคการเมืองฝั่งตรงข้ามมักหยิบมาโจมตีเสมอ เมื่อพูดถึงการจัดสรรงบประมาณในแต่ละปี