อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ระบุ ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านการค้าระหว่างประเทศ จากการเปลี่ยนแปลงทั้งในบริบททางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของโควิด–19 ที่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและเศรษฐกิจทั่วโลก ดังนั้น ผู้ประกอบการต้อง ตั้งรับ ปรับตัว และหาโอกาสขยายตลาดด้วยกลยุทธ์ใหม่ ๆ ให้ก้าวทันการค้าโลก
สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) ภายใต้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้จัดทำโครงการ “เจาะลึกตลาดต่างประเทศในยุคการค้าใหม่” ภายใต้โครงการพัฒนา SMEs ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร เพื่อเสริมสร้างความรู้ การวิเคราะห์ตลาดเชิงลึกถึงตลาดที่มีศักยภาพในยุคการค้าใหม่ กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย คู่แข่งขัน ปัญหาและอุปสรรค ช่องทางและโอกาสทางการตลาด โดยเฉพาะในช่วงหลังเกิดการแพร่ระบาดของโควิด–19 ครอบคลุม 6 ตลาดเป้าหมาย ซึ่งเป็นตลาดที่มีมูลค่าการค้าสูง ได้แก่ ตลาดตะวันออกกลาง/ซาอุดิอาระเบีย ตลาดเกาหลี ตลาดอินเดีย ตลาดอาเซียน ตลาดจีน/ฮ่องกง และตลาดญี่ปุ่น
ปี 2564 ประเทศไทยส่งออกไปตลาดตะวันออกกลาง/ซาอุดิอาระเบีย มีมูลค่า 8,800 ล้านดอลลาร์ สินค้าส่งออก ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ข้าว และ
เครื่องปรับอากาศ ตลาดเกาหลี มูลค่า 5,800 ล้านดอลลาร์ สินค้าส่งออก ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำตาลทราย และแผงวงจรไฟฟ้า ตลาดอินเดีย มูลค่า 8,500 ล้านดอลลาร์ สินค้าส่งออก ได้แก่ เม็ดพลาสติก อัญมณีและเครื่องประดับ และเคมีภัณฑ์
ตลาดอาเซียน มูลค่า 65,000ล้านดอลลาร์ สินค้าส่งออก ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป อัญมณีและเครื่องประดับ ตลาดจีน/ฮ่องกง มูลค่า 48,000 ล้านดอลลาร์ สินค้าส่งออก ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก และผลิตภัณฑ์ยาง และตลาดญี่ปุ่น มูลค่า 25,000 ล้านดอลลาร์ สินค้าส่งออก ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ไก่แปรรูป และเคมีภัณฑ์ ซึ่งในทุกตลาดดังกล่าว มีอัตราการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยช่างภาพที่เคยอยู่