กลุ่มสิทธิมนุษยชนแสดงความเป็นห่วงว่า ทวิตเตอร์ จะกลายเป็นเครื่องมือสร้างความเกลียดชัง หลังจากที่ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีที่รำรวยที่สุดในโลกบรรลุข้อตกลงในการซื้อทวิตเตอร์ เนื่องจากมัสก์เคยแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผยว่าเขาไม่สนับสนุนแนวทางการควบคุมหรือกลั่นกรองเนื้อหาของทวิตเตอร์ และเขาเชื่อมั่นในเรื่องเสรีภาพในการพูดอย่างสุดโต่ง และเสรีภาพในการพูด หรือ Free Speech นี่แหละคือรากฐานอันแข็งแกร่งของประชาธิปไตยที่มีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม เดโบราห์ บราวน์ ซึ่งเป็นนักวิจัยด้านสิทธิดิจิทัลและเป็นผู้ให้คำปรึกษาแก่ฮิวแมนไรท์วอท์ช แสดงความเป็นห่วงว่า ไม่สำคัญว่าใครจะเป็นเจ้าของทวิตเตอร์ แต่ทวิตเตอร์มีความรับผิดชอบในการให้ความเคารพผู้ใช้งานที่มีอยู่ทั่วโลก การเปลี่ยนแปลงนโยบาย ระบบการใช้งาน หรืออัลกอริธึม จะส่งผลกระทบร้ายแรงซึ่งรวมถึงการใช้ความรุนแรงในชีวิตจริง ดังนั้น เสรีภาพในการพูดจึงต้องมีการควบคุม และนี่คือสาเหตุที่ทวิตเตอร์ต้องลงทุนและพยายามกลั่นกรองเนื้อหาเพื่อปกป้องกลุ่มผู้ใช้งานที่มีความเปราะบางจากการเป็นเหยื่อของเนื้อหาหรือข้อความที่สร้างความเกลียดชัง
ด้านแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ก็กังวลว่า อีลอน มัสก์ จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงนโยบายการกลั่นกรองเนื้อหาสร้างความเกลียดชังของทวิตเตอร์ ซึ่งอาจจะทำให้ทวิตเตอร์แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น เวลามีคนทวีตข้อความที่สร้างความเกลียดชังต่อกลุ่มคนชายขอบ เช่น กลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งทวิตเตอร์ยังไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ต่อความกังวลเรื่องนี้