แคทริน คิมบอลล์ มิเซลล์ ผู้พิพากษาศาลกลางในเมืองแทมปา รัฐฟลอริดา มีคำตัดสินเมื่อวันจันทร์ว่า มาตรการของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่บังคับสวมหน้ากากในระบบขนส่งสาธารณะ เป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค หรือ CDC ในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 หลังจากคดีนี้ถูกยื่นฟ้องในปีที่แล้วโดยกองทุนคุ้มครองเสรีภาพด้านสาธารณสุข และผู้โดยสารด้วยเครื่องบิน 2 คน
CDC ออกคำสั่งครั้งแรกบังคับใช้สวมหน้ากากในระบบขนส่งสาธารณะเมื่อเดือน ก.พ. 2564 และสำนักงานความมั่นคงด้านการขนส่ง หรือ TSA ออกคำสั่งเพื่อบังคับใช้มาตรการของ CDC
เจน ซากี โฆษทำเนียบขาว แถลงว่าคำตัดสินของศาลเป็นการตัดสินใจที่น่าผิดหวัง ขณะเดียวกัน TSA ยืนยันว่าจะไม่บังคับใช้มาตรการบังคับสวมหน้ากาก เมื่อใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะอีกต่อไป แต่ CDC ยังแนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากากต่อไป
ขณะที่สายการบินรายใหญ่ทั้งหมด อย่าง อเมริกัน แอร์ไลน์, ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ และเดลตา แอร์ ไลน์ และรถไฟแอมแทรก ยกเลิกมาตรการบังคับผู้โดยสารสวมหน้ากากแล้ว โดยการสวมหน้ากากยังเป็นทางเลือกที่ทำได้สำหรับพนักงาน ลูกเรือ และผู้ใช้บริการทั้งหมดภายในสนามบินของสหรัฐฯ และบนเครื่องบินที่บินภายในประเทศทุกลำ รวมถึงเที่ยวบินระหว่างประเทศส่วนใหญ่ด้วย รวมถึงพนักงานและผู้โดยสารของรถไฟแอมแทรก
เมื่อเร็ว ๆ นี้ CDC เพิ่งขยายมาตรการบังคับสวมหน้ากากบนเครื่องบิน รถไฟ แท็กซี่ รถเช่า หรือสถานีขนส่ง ออกไปอีก 15 วัน จนถึงวันที่ 3 พ.ค. จากเดิมกำหนดสิ้นสุดในวันที่ 18 เม.ย. เพื่อต้องการเวลาประเมินผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.2 ที่พุ่งสูงขึ้นและพบในผู้ติดเชื้อรายใหม่ส่วนใหญ่