เริ่มจาก “สแตนลีย์ เรนชอน” นักจิตวิทยาการเมืองแห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ชี้ว่า นักการเมืองที่ชอบเล่นเกมล่าอีหนูราวกับกำลังเล่นเกมอันตราย ซึ่งมีทั้งความสนุกสนานตื่นเต้นและเดิมพันด้วยชีวิตการเมือง ส่วนใหญ่มักจะเป็นพวกที่หลงตัวเอง มีความทะเยอทะยานและเชื่อมั่นในตัวเองสูง หรืออาจจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าผู้ชายทั่วไปก็มักจะเป็นอย่างนี้ ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย
แต่นักการเมืองขี้หลีเหล่านั้นลืมไปว่า ตัวเองมีต้นทุนความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะการต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมและการต้องทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดีตามที่สังคมมุ่งหวังไว้ จึงต้องรับผิดชอบต่อผลที่เกิดขึ้นโดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ที่สำคัญ คือ การนอกใจเมียไม่ใช่แค่การทรยศต่อความไว้วางใจของคนในครอบครัวเท่านั้น หากยังหมายถึงทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชนด้วย และถ้าหากเจ้าตัวสามารถโกหกกับผู้เป็นที่รักในครอบครัวได้ ใครๆ ก็เชื่อว่าเขาสามารถโกหกกับทุกคนได้โดยไม่เลือกหน้า และถ้าหากเขาไม่ซื่อสัตย์แม้กระทั่งกับคำสัญญาในวันแต่งงาน เขาจะซื่อสัตย์ต่อคำสาบานที่ให้ไว้ในวันรับตำแหน่งทางการเมืองหรือ ท้ายสุดก็คือถ้าหากเขายังมีความลับแม้กระทั่งในชีวิตส่วนตัว เชื่อได้ว่าในชีวิตที่อยู่ท่ามกลางสายตาประชาชนเขาคงจะมีความลับซุกซ่อนอยู่เช่นกัน
“สตีเฟน เวย์น” นักจิตวิทยาทางการเมืองแห่งมหาวิทยาลัยจอร์จ ทาวน์ ให้ความเห็นว่า คำถามเหล่านี้นับว่าสำคัญมากเพราะจะเป็นตัวตัดสินทันทีว่านักการเมืองผู้นั้นสมควรจะตกกระป๋องเวทีการเมืองทันทีไม่ว่าจะยิ่งใหญ่หรือดังแค่ไหนก็ตาม ขณะที่ เฟรด กรีนสไตน์ แห่งมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันเสริมว่าบางคนอาจจะคิดว่าความตื่นเต้นจากการมีกิ๊กสามารถสนองความทะยานอยากของตัวเองได้ นั่นก็คือความตื่นเต้นทางการเมือง