หวังไทยมี พ.ร.บ.บำนาญแห่งชาติ สร้างสวัสดิการพื้นฐานผู้สูงอายุ

น.ส.ลลิศา​ ​ไตรรัตนจรัสพร ผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตหลักสี่ พรรคก้าวไกล กล่าวว่าเมื่อวานเป็นผู้สูงอายุ จากการทำงานในพื้นที่ตนได้พบเห็นผู้สูงอายุที่ขาดการเหลียวแล และการเยียวยาที่เพียงพอจากสังคม ซึ่งแท้จริงแล้ววันผู้สูงอายุแห่งชาติมีวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งขึ้น 6 ประการเพื่อให้สังคมได้ตระหนักถึงความสำคัญและการให้ความช่วยเหลือผู้สูงอายุ ซึ่งจัดเป็นประชาชนกลุ่มเปราะบาง ทั้งนี้ วัตถุประสงค์สำคัญประการหนึ่ง คือเพื่อให้ผู้สูงอายุได้คลายวิตกกังวลเมื่อชราภาพและไม่สามารถประกอบอาชีพต่อไปได้ โดยทางรัฐบาลมีหน้าที่ที่จะเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดู นั่นหมายความอีกนัยหนึ่งว่า รัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐต้องจัดให้มีสวัสดิการเพื่อดูแลผู้สูงอายุให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุขในสังคม 

ที่ผ่านมาพรรคก้าวไกล และกลุ่มเครือข่ายภาคประชาชนต่าง ๆ มีความพยายามในการผลักดันร่างกฎหมายบำนาญประชาชนเข้าสู่สภา เพื่อเปลี่ยนเบี้ยยังชีพเป็นหลักประกันขั้นพื้นฐานด้านรายได้ หรือ บำนาญประชาชน โดยยกระดับบำนาญพื้นฐานให้กับผู้สูงอายุเป็นคนละ 3,000 บาท สำหรับผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไปอย่างเท่าเทียมกัน แต่ท้ายที่สุดแล้วก็เกิดเหตุการณ์สภาล่มจนไม่สามารถนำกฎหมายดังกล่าวไปพิจารณาได้ ซึ่งทำให้ผู้สูงอายุหลายล้านคนเสียโอกาสที่จะได้รับสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่ควรจะได้รับอย่างเท่าเทียมไป

“เป็นผู้สูงอายุในสังคมนี้ค่อนข้างลำบาก ทำงานหนักมาตลอดชีวิตเพื่อหวังขึ้นขั้นเงินเดือนสูงๆ พอถึงเวลาเกษียณจากชีวิตทำงานแล้ว ยังต้องกลับต้องมานั่งลุ้นเบี้ยผู้สูงอายุจะขึ้นตอนไหนอีก และเบี้ยผู้สูงอายุขั้นต่ำเดือนละ 600 บาท เฉลี่ยวันละ 20 บาท ก็ไม่เพียงพออย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิต อย่างนี้ผู้สูงอายุจะอยู่กันได้อย่างไร จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้อย่างไร ทำไมรัฐไม่จัดสรรให้เท่าเทียมกันทุกคน จึงอยากฝากให้รัฐบาลทบทวนหลักเกณฑ์และจำนวนเงินทั้งส่วนของผู้สูงอายุและกลุ่มเปราะบางอื่น ๆ ให้อยู่บนพื้นฐานของค่าครองจริงที่แท้จริง โดยเฉพาะการร่วมกันผลักดันกฎหมายบำนาญประชาชนให้เกิดขึ้นเพื่อสร้างสวัสดิการพื้นฐานและความมั่นคงทางรายได้ให้แก่ผู้สูงอายุทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน และโปรดอย่ามองว่าสิ่งเหล่านี้คือภาระงบประมาณ แต่ขอให้มองว่าสวัสดิการเหล่านี้คือการตอบแทนความทุ่มเทการทำงานหนักมาตลอดชีวิตเพื่อประเทศของเรา เพื่อมอบเป็นกำลังใจในวันผู้สูงอายุที่กำลังมาถึงนี้”  น.ส.ลลิศา กล่าว