เป็นเรื่องราวดราม่าตลอดทั้งวันวานนี้ (27 มี.ค.) ภายหลังโรงเรียนชื่อดัง พื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา มีประกาศผ่านหน้าเพจเฟซบุ๊ก เรื่องให้พ้นสภาพการเป็นบุคลากร ทั้งที่ “ครูสาว” คู่กรณี สอบบรรจุราชการได้อันดับ 1 ของจังหวัด
ภายในประกาศมีเนื้อหาว่า “แจ้งบุคคลพ้นสภาพการเป็นบุคลากร ครูแนะแนวโรงเรียน...ได้พ้นสภาพจากการเป็นบุคลากรของโรงเรียน ตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค.การใดที่บุคคลนี้ได้ทำลงในนามส่วนตัว หรือกล่าวอ้างถึงโรงเรียน ภายหลังพ้นสภาพจากการปเนบุคลากร จักไม่มีผลผูกพัน และไม่เกี่ยวข้องกับโรงเรียน จึงประกาศมาให้ทราบโดยทั่วกัน ประกาศ ณ วันที่ 25 มี.ค.”
เมื่อโพสต์ประกาศดังกล่าวถูกเผยแพร่ หลายคนมอง “ครูสาว” ในแง่ลบ เนื่องจากเนื่อหาในประกาศ ทำให้เข้าใจผิดได้ว่า มีการทำผิดวินัยของทางโรงเรียนหรือไม่
จนสุดท้าย “ครูสาว” ต้องรีบมาตอบคอมเมนต์ เพื่ออธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่า ได้สอบบรรจุ และเมื่อมีการประกาศผล ปรากฏว่าผ่านข้อเขียน ครูเลยไปยื่นใบลาออกกับโรงเรียนวันที่ 2 มี.ค.แต่ครูต้องทำงานจนถึงวันที่ 31 มี.ค.โดยทางโรงเรียนได้อนุมัติใบลาออก และประกาศรับครูใหม่ในวันที่ 8 มี.ค.แต่เมื่อโรงเรียนทราบว่า ลาออกเนื่องจากไปสอบบรรจุมา จึงเรียกเข้าพบ และให้เซ็นรับทราบเรื่องทำผิดวินัยร้ายแรง ให้ออกมีผลทันที
“หลังจากนั้น มีการมอบหนังสือรับรองการทำงานมาให้ ทางคุณครูก็ได้ส่งมอบไฟล์งานให้กับหัวหน้าฝ่ายไว้แล้ว จึงออกจากโรงเรียนในเย็นวันนั้น (14 มี.ค.) จนวันที่ 26 มี.ค.ทางโรงเรียนได้โพสต์ประกาศพ้นสภาพดังกล่าวออกมา ทั้งที่ออกมาแล้ว 12 วัน”
นอกจากนี้ “ครูสาว” ยังออกมาชี้แจงเพิ่มเติมอีกว่า ได้ทำสัญญาว่าจ้างที่โรงเรียนแห่งนี้เมื่อ 2562 แต่โรงเรียนมีประกาศข้อบังคับเมื่อปีที่แล้ว เรื่องบุคลากรของโรงเรียนที่มีความประสงค์จะไปสอบราชการ พนักงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานเอกชน ต้องลาออกก่อนการประกาศผลในรอบนั้นๆ
โดยตนเองสมัครสอบบรรจุราชการช่วงเดือน พ.ค.2564 แต่เนื่องจากมีปัญหาโควิดระบาด การสอบจึงเลื่อนมาช่วงเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา เมื่อถึงวันประกาศผลสอบ ทราบว่าได้บรรจุเป็นอันดับที่ 1 จึงตัดสินใจยื่นใบลาออก ซึ่งโรงเรียนก็อนุมัติตามปกติ แต่อยู่ดีๆ มีการเรียกให้เข้าไปเซ็นเอกสาร เรื่องทำผิดวินัยร้ายแรง และโพสต์ผ่านเพจ
“ส่วนตัวรู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรมอย่างมาก เพราะโพสต์ดังกล่าว ทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ และข้อบังคับลักษณะนี้ ถือเป็นการขัดขวางการเจริญก้าวหน้าของบุคลากร ส่วนตัวจึงอยากให้ทางโรงเรียนลบโพสต์ ไม่เช่นนั้นจะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป”