คณะผู้พิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือ ICJ มีมติ 13 ต่อ 2 เสียง เมื่อวันพุธ ว่ารัสเซียควรระงับปฏิบัติการทางทหารในยูเครนที่เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 24 ก.พ. โดยทันที และรัสเซียต้องให้ความมั่นใจว่ากองกำลังอื่นใด ที่อยู่ภายใต้การควบคุมหรือได้รับการสนับสนุนจากรัสเซีย จะไม่เดินหน้าปฏิบัติการทางทหารอีกต่อไปด้วย คำสั่งของ ICJ ซึ่งเป็นศาลสูงสุดขององค์การสหประชาชาติ มีผลผูกมัดแต่ศาลไม่มีวิธีโดยตรงที่จะบังคับให้ปฏิบัติตาม ทำให้เกิดคำถามว่า รัสเซียจะปฏิบัติตามคำสั่งศาลหรือไม่
คำสั่งของศาลมีขึ้นหลังจากยูเครนยื่นฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 27 ก.พ. กล่าวหาว่ารัสเซียบิดเบือนการตีความคำว่า "การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" เพื่อสร้างความชอบธรรมในการรุกรานทางทหารต่อยูเครน โดยอ้างว่ามีจุดประสงค์เพื่อหยุดยั้งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในสาธารณรัฐ 2 แห่ง ในภูมิภาคดอนบาสทางภาคตะวันออกของยูเครน ที่แยกตัวเป็นอิสระเมื่อ 8 ปีที่แล้ว และยูเครนขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉินชั่วคราว ให้รัสเซียหยุดการโจมตีในยูเครนจนกว่าคดีนี้จะมีการพิจารณาเสร็จสิ้น ซึ่งศาลอนุมัติคำสั่งคุ้มครองดังกล่าว
ยูเครนโต้แย้งว่าไม่มีภัยคุกคามจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในดอนบาส และชี้ให้เห็นว่าอนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันและลงโทษความผิดอาญาฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ที่ทั้งยูเครนและรัสเซียเป็นภาคีสมาชิก ไม่ได้อนุญาตให้มีการรุกรานเพื่อป้องกันการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ขณะที่รัสเซียชี้แจงว่าการที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ใช้คำว่า "ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" ไม่ได้อ้างอิงการตีความตามอนุสัญญา และเมื่อไม่มีการโต้แย้งเรื่องการตีความในอนุสัญญาฉบับนี้ ศาลโลกจึงไม่มีอำนาจพิจารณากรณีนี้
ขณะเดียวกันคาริม ข่าน หัวหน้าอัยการศาลอาญาระหว่างประเทศหรือ ICC พบกับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครนโดยบังเอิญเมื่อวันพุธ และหารือถึงประเด็นการสอบสวนเรื่องอาชญากรรมสงคราม ที่อาจเกิดขึ้นจากปฏิบัติการทางทหารของรัสเซียในยูเครนด้วย ศาล ICJ มีอำนาจดำเนินคดีกับประเทศหนึ่งประเทศใด แต่ศาล ICC มีอำนาจดำเนินคดีต่อบุคคล