เพิ่ม nation online
ลงในหน้าจอหลักของคุณ
11 มีนาคม 2565 นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ร่วมหารือกับนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับความผันผวนของสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกที่จากเกิดการสู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครน เมื่อวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา
โดยมีผู้บริหารระดับสูงทั้ง 2 กระทรวงเข้าร่วมประชุมด้วย อาทิ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นางรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และนายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน
นายสุพัฒนพงษ์ เปิดเผยว่า การประชุมครั้งนี้ เพื่อประเมินสถานการณ์โดยภาพรวมของเศรษฐกิจและแหล่งเงินที่จะนำมารับมือปัญหาราคาน้ำมันแพง แต่ประเด็นสำคัญต้องคำนึงเสถียรภาพความมั่นคงด้านพลัง เพื่อให้ประชาชนได้ใช้พลังงานอย่างเพียงพอ เช่น การสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่ม จาก 60 วัน เป็น 70 วัน เพื่อสร้างมั่นใจให้ประชาชนว่า มีน้ำมันเพียงพอ
ทั้งนี้ รัฐบาลได้การสั่งให้บริษัทน้ำมันในประเทศ เพิ่มกำลังสำรองน้ำมัน เป็น 70 วัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 60 วัน เพื่อให้มั่นใจว่าไทยจะมีน้ำมันใช้เพียงพอในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์ราคาและซัพพลายน้ำมันในเวลานี้ โดยการเพิ่มกำลังสำรองเป็น 70 วัน จะค่อยเพิ่มจนครบตามเป้าหมายดังกล่าว
“ ในสถานการณ์ขณะนี้ การรักษาเสถียรภาพเป็นสิ่งสำคัญ หมายความว่า เราต้องให้เกิดความมั่นใจว่า ประเทศจะมีน้ำมันใช้ที่เพียงพอ ส่วนเรื่องราคาน้ำมันนั้นจะเป็นอีกประเด็นหนึ่ง ”
สำหรับการตรึงราคา น้ำมันดีเซลที่ 30 บาทนั้น ยังคงเป็นนโยบายอยู่ ซึ่งขณะนี้ กองทุนน้ำมันมีเพดานสูงสุดที่จะสามารถกู้ได้ถึง 4 หมื่นล้านบาท แต่ คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติให้กู้ในตอนนี้ที่ 3 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์วิกฤตพลังงานยืดเยื้ออกไปเพดานเงินกู้ที่ 4 หมื่นล้านบาท คงไม่เพียงพอ ซึ่งการจะขยายเพดานเงินกู้ เป็นอำนาจของ ครม.
ในส่วนเรื่องราคาค่ากระแสไฟฟ้าในประเทศ เมื่อวันอังคารที่ผ่านนี้ ครม. ได้มีมติ ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล และน้ำมันเตาเป็นศูนย์ เพื่อช่วยในเรื่องราคาค่ากระแสไฟฟ้าไม่ให้ปรับสูงขึ้นนั้น ขณะนี้ กระทรวงพลังงาน ได้พยายามรวบรวมแหล่งผลิตกระแสไฟฟ้าราคาถูกหลายๆแหล่ง เพื่อมาช่วยไม่ให้ราคาค่ากระแสไฟฟ้าของประชาชนสูงจนเกินไป
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวอีกว่า หากสถานการณ์ความตรึงเครียดระหว่างรัสเซียกับยูเครน ยืดเยื้อ และหากจำเป็นต้องมีมาตรการเพิ่มเติมมากกว่าปัจจุบัน รัฐบาลยังมั่นใจว่ารัฐบาลจะมีเม็ดเงินที่เข้าไปช่วยแก้ไขปัญหา แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความจำเป็น
ขอบคุณข้อมูล : กรุงเทพธุรกิจ