ออสเตรเลียประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติรับมือน้ำท่วม

นายกรัฐมนตรีสกอตต์ มอร์ริสัน ตรวจเยี่ยมพื้นที่ในเมืองลิสมอร์ของรัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งเป็นเมืองที่ได้รับความเสียหายหนักที่สุดจากน้ำท่วมในวันนี้ และกล่าวยอมรับว่าออสเตรเลียกลายเป็นประเทศที่อาศัยอยู่ได้ยากขึ้นเพราะภัยพิบัติทางธรรมชาติ นอกจากนี้เขาประกาศให้น้ำท่วมในพื้นที่แถบชายฝั่งภาคตะวันออก เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติ ซึ่งจะทำให้สามารถระดมสรรพกำลังทั้งหลาย เพื่อจัดส่งความช่วยเหลือไปยังพื้นที่ประสบภัยได้อย่างรวดเร็ว 

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติ นับจากมีการออกกฎหมายว่าด้วยการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติ ในเดือน ธ.ค. 2563 สืบเนื่องจากไฟป่าครั้งหายนะในปี 2562 ขณะนี้รัฐนิวเซาท์เวลส์และรัฐควีนสแลนด์กำลังประสบอุทกภัยครั้งร้ายแรง หลังจากเผชิญฝนตกหนักกว่าปกติมาตั้งแต่ปลายเดือนที่แล้ว ทำให้มีผู้เสียชีวิต 9 ราย ในนิวเซาท์เวลส์ และอีก 13 ราย ในรัฐควีนสแลนด์  

ระดับน้ำท่วมวัดได้สูงสุดในเมืองบริสเบน ที่เป็นเมืองเอกของรัฐควีนสแลนด์ และเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 3 ของประเทศ เมื่อวันที่ 28 ก.พ. หลังจากมีฝนตกหนักติดต่อกัน 3 วัน และวัดปริมาณฝนได้มากถึง 80% ของปริมาณฝนตกตลอดทั้งปี นอกจากนี้เมืองซิดนีย์ที่เป็นเมืองเอกของรัฐนิวเซาท์เวลส์ และเมืองที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศ ก็มีปริมาณฝนตกมากที่สุดในช่วงต้นปีเท่าที่เคยบันทึกไว้ โดยบางพื้นที่ของเมืองวัดปริมาณฝนได้เกือบ 75% ของปริมาณฝนเฉลี่ยทั้งปี นับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.

แม้ฝนตกเบาบางลงในช่วงไม่กี่วันนี้ แต่ประชาชน 40,000 คน ทั่วรัฐนิวเซาท์เวลส์ ยังคงอยู่ภายใต้คำสั่งให้อพยพออกจากพื้นที่ 

ขณะที่มีรายงานว่าชาวบ้านในเขตนอร์ทเธิร์น รีเวอร์ส ของรัฐนิวเซาท์เวลส์ ไม่มีไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตใช้หลายวันแล้ว และไม่พอใจที่ทางการให้ความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ล่าช้าและน้อยเกินไป

และระหว่างที่มอร์ริสันลงพื้นที่ในเมืองลิสมอร์ มีประชาชนชูป้ายประท้วงริมถนนขณะขบวนรถแล่นผ่าน และมีคนรวมตัวด้านนอกศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินที่มอร์ริสันไปพบปะเจ้าหน้าที่ และตะโกนประท้วงเรื่องปัญหาโลกร้อน พร้อมกับสะท้อนว่าน้ำท่วมครั้งนี้เป็นผลพวงจากการใช้พลังงานเชื้อเพลิงจากฟอสซิล ที่เป็นต้นตอของโลกร้อน