เมื่อวันที่ 9 มี.ค.65 นายพีระพันธ์ุ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เปิดเผยผ่าน เนชั่นออนไลน์ ถึงแนวทางการต่อสู้คดีค่าโง่โฮปเวลล์ 2.4 หมื่นล้านบาท ภายหลังศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งรับคำขอพิจารณาใหม่ว่า กระบวนการจากนี้ต้องรอศาลปกครองพิจารณาเพื่อนัดหมาย ในส่วนของการต่อสู้คดี ยึดหลักเกี่ยวกับกรณีที่คดีดังกล่าวหมดอายุความ
นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า หลังจากนี้จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีใหม่ กลับไปที่ศาลชั้นต้น ขณะนี้รอกำหนดวันนัดจากศาล ยังคงดำเนินการตามแนวเดิมเพราะตั้งแต่ต้นได้โต้แย้งว่าคดีนี้ขาดอายุความไปแล้ว เมื่อขาดอายุความคดีต้องถูกยกฟ้อง ซึ่งศาลปกครองกลางเคยตัดสินไปแล้วหนึ่งครั้งว่าคดีนี้ขาดอายุความแล้ว ซึ่งประเด็นหลักตอนนี้คือ ขาดอายุความแล้วหรือยัง
"กรณีบริษัทที่เกี่ยวข้อง มีหลายเรื่องที่ไม่ถูกต้องไม่ใช่แค่ประเด็นเรื่องอายุความ ซึ่งประเด็นการจัดตั้งบริษัทคิดว่ามันไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อไม่ถูกต้องก็ต้องถือว่าเป็น "โมฆะ" ถ้าวินิจฉัยตามหลักกฎหมายแล้วมั่นใจ 100% ซึ่งในเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เสียค่าโง่ แต่โง่ทุกขั้นตอน แต่แกล้งโง่หรือตั้งใจโง่ ส่วนนี้ตนตอบไม่ได้"
ด้านนายวิษณุ วรัญญู รองประธานศาลปกครองสูงสุด ชี้แจงขั้นตอนการพิจารณาคดีโฮปเวลล์ใหม่ ว่า หลังศาลปกครองสูงสุดโดยที่ประชุมใหญ่มีมติให้รับรื้อคดีใหม่ คดีก็ต้องไปเริ่มที่ศาลปกครองชั้นต้น
โดยจะต้องมีการแสวงหาข้อเท็จจริงซึ่งคดีนี้ไม่ใช่ข้อพิพาท ระหว่างกระทรวงคมนาคม และ บริษัทโฮปเวลล์ โดยตรง แต่เป็นกรณีพิพาทว่าคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่ให้กระทรวงคมนาคม จ่ายค่าเสียหายถูกต้องหรือไม่ จึงไม่ใช่เรื่องที่ศาลต้องลงไปดูรายละเอียดในข้อพิพาท ระหว่างคมนาคม และบริษัท โฮปเวลล์
ประกอบกับมีแนวคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องการนับระยะเวลาการฟ้องคดี ก็ทำให้การพิจารณาคดีมีความชัดเจนขึ้น ดังนั้นการพิจารณาคดีคาดว่าไม่นาน
ส่วนการที่กระทรวงคมนาคมจะขอยื่นให้ศาลออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเพื่อระงับการจ่ายเงินตามคำพิพากษา โดยเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจขององค์คณะเจ้าของสำนวน แต่โดยระเบียบการบังคับคดีของศาลปกครองข้อที่ 131 เมื่อมีการรับคำขอพิจารณาคดีใหม่ ก็สามารถงดการบังคับคดีตามคำพิพากษาเดิมได้
รองประธานศาลปกครองสูงสุด กล่าวอีกว่า เรื่องการรับพิจารณาคดีใหม่ไม่ใช่เรื่องปกติ ต้องทำอย่างพิเศษมากๆ ไม่ใช่สิ่งที่ทำกันได้ง่ายๆ อย่างที่มีการเรียกร้องกัน หรือที่มีการพูดกันว่ายื่นมาไม่รู้กี่ครั้ง ศาลก็ไม่รับเสียที่ กฎหมายจึงมีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่จะพิจารณาคดีใหม่อย่างเคร่งครัด
โดยพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา75 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ 4 ข้อ คือ1. มีข้อเท็จจริงใหม่ 2.คู่กรณีแท้จริงไม่ได้เข้ามาในคดี หรือเข้ามาแล้วไม่ได้รับความยุติธรรม 3. มีข้อบกพร่องสำคัญในชั้นพิจารณา 4. มีข้อเท็จจริง หรือข้อกฎหมายเปลี่ยนไปในสาระสำคัญ อาจทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งคดีโฮปเวลล์ อยู่ในข้อ 4 นี้ ข้อเท็จจริงไม่ได้เปลี่ยน แต่เป็นข้อกฎหมายที่เปลี่ยนจากวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องการนับระยะเวลาการฟ้องคดี
"การพิจารณาคดีใหม่ ในกรณีทั่วๆไปเขามักจะไม่ทำกัน เมื่อมีคำพิพากษาออกไปจะผิดจะถูกก็ต้องปฏิบัติตาม วิธีการที่ในต่างประเทศที่เขาจะทำกัน ในกรณีที่รับไม่ได้กับผลของคำพิพากษาจริงๆ เขาจะต้องไปออกกฎหมายแก้ไขหรือลบล้างคำพิพากษา ถ้าเป็นคดีอาญาต้องไปออกกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งในไทยมักจะกล่าวหาว่าอย่างนี้เป็นการแทรกแซงอำนาจตุลาการซึ่งไม่ใช่นะครับ เป็นระบบปกติเพราะว่าศาลจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ในระบบทั่วไปถ้าสมมติว่าคำพิพากษามีข้อผิดพลาดจะต้องไปแก้ในกระบวนการนิติบัญญัติ ต้องออกกฎหมายมานิรโทษกรรมก็ดี มาแก้ไขผลคำพิพากษาก็ดี ไม่ใช่เป็นการไม่เคารพคำพิพากษาของศาล แต่เป็นการใช้อีกกระบวนการหนึ่งเพื่อบรรเทาผลของคำพิพากษา ในกระบวนการปกครองของเรามีอีกวิธีการหนึ่งคือเรื่องของการพิจารณาคดีใหม่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จะทำง่ายๆตามที่เรียกร้องกัน ตามกฎหมายจึงกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการที่จะพิจารณาคดีใหม่ไว้อย่างเคร่งครัดมาก" นายวิษณุ กล่าว