เจ้าหน้าที่ทั้ง 3 ที่ประกอบด้วยอดีตเจ้าหน้าที่รัฐบาล, เจ้าหน้าที่ข่าวกรองและนักการทูตของนาโต ให้ความเห็นว่า วัตถุประสงค์ของรัสเซียอยู่ในถ้อยแถลงของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ที่ว่า "การใช้ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร" เพื่อ "ทำลายการต่อสู้ทางทหาร" ของยูเครน ก็คือการเข้าโอบล้อมกองทัพยูเครนทุกทิศทางและบีบให้ยอมแพ้หรือถูกทำลาย และ คาดว่ากรุงคีฟจะถูกยึดได้ใน 96 ชั่วโมง หรืออีก 4 วันข้างหน้า ตามด้วยการโค่นผู้นำประเทศ
การโจมตีแบบสายฟ้าแลบต่อสถาบันของรัฐบาลและทหารของยูเครน ควบคู่กับการส่งทหารราบเข้ายึดจุดยุทศาสตร์ที่สำคัญ รวมทั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล เป็นแค่เพียงการโหมโรงก่อนนำไปสู่ยุทธการภาคพื้นดินที่กว้างขวางกว่านี้
อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองสหรัฐฯ ให้ความเห็นว่า หลังการใช้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศและระดมยิงด้วยปืนใหญ่กับการทำสงครามภาคพื้นดินแล้ว การยึดเคียฟก็จะทำได้โดยไม่ยาก ทหารยูเครนอาจจะต้านได้แต่ก็ไม่นาน ส่วนสหรัฐฯ ก็อาจหันไปสนับสนุนความพยายามต่อต้านรัสเซียของชาวยูเครน ที่อาจนำไปสู่ความไม่สงบในประเทศ แต่เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประธานาธิบดีโจ ไบเดน
แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดในรัฐบาลของประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน เห็นด้วยกับการประเมินของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่ว่าเคียฟจะถูกปิดล้อมใน 96 ชั่วโมง แต่รัฐบาลของเซเลนสกีอาจไม่ถึงขั้นล่มสลาย ส่วนนักการทูตของนาโตบอกว่า ตามความเห็นของเขา 24 ชั่วโมงแรกเป็นช่วงที่วิกฤตที่สุด ตรงกับข้อมูลที่นายมิคไคโล โปโดยัค ที่ปรึกษาของหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบประธานาธิบดียูเครน ที่แจ้งไปยังสถานทูตยูเครน ในกรุงวอชิงตัน ว่าเคียฟคือเป้าหมายของรัสเซีย และมีแนวโน้มที่ทหารรัสเซียจะเข้ายึดอาคารที่ทำการของรัฐบาลตามเมืองใหญ่ต่าง ๆ
ข้อมูลของโปโดยัคระบุว่า รัสเซียมีเป้าหมายทางยุทธวิธี 2 ประการ คือ เข้ายึดดินแดนและโจมตีผู้นำทางการเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมายของยูเครน เพื่อกระจายความโกลาหลและตั้งรัฐบาลหุ่นเชิด ที่จะลงนามในข้อตกลงสันติภาพเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทวิภาคีกับรัสเซีย ซึ่งก็คือการทำให้สถานการณ์ในเมืองใหญ่ไม่มั่นคง โดยเฉพาะเมืองเคียฟกับคาร์คีฟ เมืองหลวงกับเป็นเมืองใหญอันดับสองของประเทศ