การประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. และร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งล่าสุดจากการประชุมร่วมรัฐสภาวันนี้ ( 24 ก.พ.65 )ที่ประชุมร่วมรัฐสภาได้ผ่านความเห็นชอบร่างกม.ประกอบรธน.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ในวาระแรก ทั้ง 4 ฉบับ ประกอบด้วยร่างกม.ประกอบ รธน.ว่าด้วยการเลือกตั้งฉบับของ ครม. ฉบับของพรรคเพื่อไทย ฉบับของพรรคร่วมรัฐบาล และ ฉบับของพรรคก้าวไกล
จากนั้นเข้าสู่การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง แม้จะมีกระแสข่าวมาหลายวันว่าส.ว.น่าจะเบรกร่างของฝ่ายค้านทั้งหมด เมื่อบวกกับเสียงของส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลก็น่าจะไปในแนวทางนั้นเพราะร่างของฝ่ายค้านที่น่าพินิจหนักคือการเว้นความผิดเกี่ยวกับคนนอกที่เข้ามาครอบงำพรรค เพราะร่างนี้เปิดช่องให้ใครบางคนแสดงความเห็นในการหนุนบางพรรคได้แบบอิสระ และใครคนนั้นก็ใช่ใครอื่น เชื่อว่าร่างนี้ของฝ่ายค้านน่าจะปลิว
ฉะนั้นคงไม่ต้องลุ้นกันเยอะว่า ร่างของพรรคใดจะผ่านความเห็นชอบของสองสภา และหากสะเด็ดน้ำแล้ว จะพอมองเห็นอะไรรางๆบนถนนการเมืองในวันข้างหน้า และพอที่จะเขียนแผนที่เพื่ออ่านเหตุในอนาคตได้ระดับหนึ่ง
เมื่อร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง และร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ผ่านสภาวาระแรก ก็จะไปว่ากันต่อในการพิจารณาในขั้นกรรมาธิการ ซึ่งจะพิจารณาในช่วงเปิดสภาสมัยหน้าหรือเดือนพฤษภาคม 2565
ก่อนหน้านี้ มีกระแสข่าวจากตึกไทยคู่ฟ้า ว่าครม.บางส่วนหารือกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในความพยายามที่อยากกลับไปใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว แต่คงเป็นไปไม่ได้ เหตุมาจากรัฐธรรมนูญได้แก้ไขเรื่องบัตรเลือกตั้งสองใบไว้เรียบร้อยแล้ว
กระแสข่าวนี้ที่ปลิวมาล่าสุดนั้น ไม่รู้ว่าใครลวงใครกันแน่ เพราะในความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้ (แม้ว่าเรื่องบัตรเลือกตั้งใบเดียวนั้น บนความเป็นจริง บางพรรคบนเรือเหล็กต้องการกลับไปใช้ก็ตาม และบางพรรคของฝ่ายค้าน เช่นก้าวไกลก็นิยมกับบัตรเลือกตั้งใบเดียว)
ดังนั้นรอดูผลของกลเกมที่ย่านเกียกกายว่าส.ส.และส.ว.ในชั้นกรรมาธิการจะแสดงวิสัยทัศน์กันอย่างไร รวมทั้งสงครามน้ำลายที่อาจเกิดขึ้นกับใครบางคนจากชุดความคิดที่ไม่ตรงกัน
ในจังหวะเดียวกันนั้น มีความพยายามจากพรรคเพื่อไทย ยื่นเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่..) พ.ศ. …. จำนวน 3 ฉบับ ประกอบด้วย ร่างแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 159 วรรคหนึ่ง และมาตรา 170 วรรคสอง เกี่ยวกับคุณสมบัติและนายกรัฐมนตรีและความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว , ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 43 เกี่ยวกับสิทธิของบุคคลและชุมชน และร่างแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย โดยเพิ่มความเป็นวรรคห้าของมาตรา 25 แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 29 เพิ่มสิทธิในกระบวนการยุติธรรมเป็นมาตรา 29/1 แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 34,44,45,47และ 48
น้ำหนักอยู่ที่ร่างแรกคือที่มาของครม.เพราะต้องเป็นส.ส.เท่านั้น หากส.ส.คนนั้นรับเก้าอี้รมต. จำต้องสละเก้าอี้ส.ส. โดยเกมนี้เพื่อไทยได้ย้อนไปใช้กติกาหลัก( รัฐธรรมนูญ2540 )ซึ่งหลายคนยอมรับว่าเป็นกติกาหลักที่ดีที่สุดฉบับหนึ่งของเมืองไทย
เพื่อไทยออกอาวุธนี้เพื่อเบรกเส้นทางของ"ลุงตู่"เป็นการเฉพาะ เพราะหากกติกานี้แก้ได้ นายกรัฐมนตรีต้องมาจากส.ส.เท่านั้น (เพื่อไทยรู้ว่า"ลุงตู่"น่าจะไม่ลงจากหอคอยงาช้างเพื่อลงสมัครเป็นผู้แทนราษฎรจึงยื่นร่างนี้เข้ามาในครั้งล่าสุด)
กรณีนี้จะเป็นหนึ่งในหมากตัวใหม่ซึ่งเพื่อไทยนำมาใช้บนเวทีการเมือง นัยว่าขอจุดกระแสใหม่ขึ้นแบบต่อเนื่อง และหามูลเหตุไปโจมตีตอนหาเสียงงวดหน้า (หากไม่มีการแก้ไข)
โดยนัยยะนั้นจะเสนอแก้กติกาหลักเกือบทั้งฉบับ(ที่มาจากยกร่างคสช.)เป็นจุดขาย และคืนความเป็นประชาธิปไตยอีกชั้นหนึ่งให้สังคม (นายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส. /ส.ส.มาจากการเลือกตั้งของประชาชน)
เพื่อไทย อ่านจังหวะการเมืองออกแล้วในชั้นหนึ่งว่าภาวะขัดแย้งในพรรคพลังประชารัฐ (ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่าและพลเอกวิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา แยกไปสังกัดพรรคเศรษฐกิจใหม่ นายสุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรีขัดแย้งกับนายสนธยา คุณปลื้ม แกนนำกลุ่มพลังชล/ แรมโบ้อีสานแยกไปตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ ส.ส.หลายคนเวลาลงพื้นที่ไม่กล้าออกตัวว่าสังกัดพปชร.
ความไม่ชัดเจนเรื่องผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. แต่ทีมผู้สมัครส.ก.ของ พชปร.บางส่วนย้ายมาสวมเสื้อทีมรักษ์กรุงเทพอย่างชัดแจ้ง มีสูงยิ่งและเปราะบาง
ในการเปิดประชุมสภาผู้แทนฯงวดหน้า กฎหมายสำคัญหลายฉบับ เช่น ร่างกฎหมายงบประมาณ,ร่างพรป.สองฉบับ,ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องเข้าสู่วาระต่อๆไป รวมทั้งการเปิดเวทีการอภิปรายไม่ไว้วางใจครม.งวดส่งท้าย ตัวแปรหลักที่จะทำให้เกิดความพังของเรือเหล็ก( โดยเฉพาะ"ลุงตู่" ) คือเสียงส.ส.ในปีกของผู้กองคนดังที่รับรู้ว่ากระจายตัวอยู่ในหลากพรรค ( รัฐบาล-ฝ่ายค้าน )ว่าจะเทแต้มไปในทางใด และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐจะดูแลส.ส.พรรคเศรษฐกิจไทยได้ตามคำมั่นที่ให้ไว้ได้หรือไม่ หรือแม้แต่นายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จะย้ำกับ"ลุงตู่"ว่า เชื่อว่าระดมได้สองร้อยหกสิบเสียงในการหนุน"ลุงตู่" ก็ตาม(ต้องรอดูกรณีรถไฟฟ้าสายสีเขียวเป็นหลัก)
ตอนนี้สารพันหมากการเมืองโดนแต่ละฝ่ายโยนออกมาเนืองๆ ดังนั้นยามนี้และยามหน้าฝ่ายใดคุมเสียงไว้ได้ย่อมได้เปรียบ (เสียงที่ระดมไว้นั้น มาจากตัวแปรใด...น่าคิด) และอย่าลืมว่าการเมืองนั้นไม่มีความแน่นอน
เหตุพลิกผันย่อมบังเกิดได้เสมอ