ตำรวจ ชี้ อดีตเจ้าอาวาส "ยางรัดผม" ไม่มีความผิดอาญา ต้องปล่อยตัว

11 กุมภาพันธ์ 2565 หลังจาก ที่ “หมอปลา” ได้นำสื่อมวลชนบุกไปที่กุฎิ อดีตเจ้าอาวาสวัดบางหญ้าแพรก ตำบลบางหญ้าแพรก อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ช่วงค่ำวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2565 และได้พบหญิงสาวซ่อนตัวใต้บันไดทางขึ้นชั้นสองของกุฎิ จึงจำนนด้วยหลักฐาน เจ้าอาวาสจึงยอมสึกจากการเป็นพระ

ล่าสุดวานนี้ (10 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวเนชั่นทีวี ได้เดินทางไปยังวัดบางหญ้าแพรก อีกครั้ง พบว่าบรรยากาศเงียบเหงา มีเพียงชาวบ้านบางส่วนที่จับกลุ่มพูดคุยเรื่องราวที่เกิดขึ้น ขณะที่กุฎิของอดีตเจ้าอาวาส พบว่าปิดเงียบ โดยมีรายงานว่าหลังจากที่อดีตเจ้าอาวาสยอมสึกจากการเป็นพระแล้ว ได้หายตัวออกจากวัดไปทันที ยังไม่กลับเข้ามาที่วัดแต่อย่างใด คาดว่าน่าจะหลบ ไปที่บ้านญาติที่ย่านบางพลี

ผู้สื่อข่าวได้ตรวจสอบไปยัง พ.ต.อ.จักรพงศ์ นุชผดุง ผกก.สภ.สำโรงใต้ ระบุว่า หลังจากเชิญตัวนายสมุทร ปราสาทพร อดีตเจ้าอาวาส มาสอบปากคำกับ ซึ่งในชั้นสอบสวนไม่พบความผิดทางคดีอาญาและยังไม่มีผู้เสียหายที่เป็นหญิงสีกาเข้ามาแจ้งความแต่อย่างใด จึงต้องปล่อยตัวไป เนื่องจากไม่พบความผิดซึ่งในชั้นสอบสวน เบื้องต้นเจ้าตัวไม่ได้รับสารภาพแต่อย่างใด แต่ก็จำนนด้วยหลักฐานที่ปรากฏตามสื่อ ขณะฝ่ายสีกาไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรต่อพนักงานสอบสวน หลังเกิดเหตุทำได้แค่นำตัวมาที่โรงพักเพื่อความปลอดภัยเท่านั้น

ด้านนายสมศักดิ์ ประสมสิน หนึ่งในคณะกรรมการวัดฯ เปิดเผยว่า อดีตเจ้าอาวาสรูปนี้  มีเรื่องสีกามานานแล้ว แต่ที่ผ่านมาไม่มีใครกล้าพูดหรือเอาเรื่องแต่อย่างใด จนกระทั่งมาเกิดเรื่อง ในส่วนตัวรู้สึกดีใจที่เรื่องนี้แดงขึ้นมา ส่วนอดีตเจ้าอาวาสคนนี้ เป็นคนในพื้นที่ บวชมาแล้วกว่า 20 พรรษา และเพิ่งมาดำรงตำแหน่งได้เพียง 7-8 พรรษาเท่านั้น โดยนิสัยตั้งแต่ยังไม่เป็นสมณเพศ จะเป็นคนพูดจากโผงผาง วางตัวไม่เหมาะสม การเกิดเรื่องครั้งนี้ตนเองมองว่าเป็นเพราะกฎแห่งกรรมที่ทำไว้ คือทำอย่างไรก็จะได้เช่นนั้น

ขณะที่พระวิรุณ ธนะสุวรรณโน รักษาการเจ้าอาวาสวัดบางหญ้าแพรก กล่าวว่า ในเรื่องการแต่งตั้งเจ้าอาวาสรูปใหม่นั้น จะต้องรอการประชุมจากพระผู้ใหญ่และกรรมการวัดอีกครั้ง เมื่อถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ในมุมของอาตมา เจ้าอาวาสรูปนี้ จำนนด้วยหลักฐานตามที่ปรากฏตามสื่อ ส่วนตัวเท่าที่เห็น เขาเป็นคนปากร้ายแต่ก็มีบ้างที่ใจดี ส่วนเรื่องสีกานั้นตนไม่ได้รู้เห็นมาก่อน ส่วนประเด็นที่สังคมมองว่าทางวัดมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายนั้น ที่ผ่านมาก็เคยมีการพูดคุยในเรื่องนี้มาบ้างแล้ว

ด้านพระลูกวัดท่านหนึ่ง ซึ่งบวชที่วัดแห่งนี้มาแล้วถึง 18 พรรษา ออกมาให้ข้อมูลถึงความผิดและกฎวินัยสงฆ์ ที่ขณะบวชเข้ามาเป็นสมณเพศย่อมรู้กฎวินัยข้อห้าม 4 ข้ออยู่แล้วคือ 1.เสพเมถุน 2.ลักทรัพย์ 3.อวดอุตริที่ไม่มีในตัว และ 4.การฆ่ามนุษย์ ส่วนเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับทางอดีตเจ้าอาวาสนั้น ถือเป็นเรื่องที่หนักกว่า ปราชิก คือ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เสพเมถุน แต่การที่มีสีกาเข้าไปอยู่สองต่อสองในกุฎิหรือในที่กำบัง ลับตา ตามวินัยแล้วถือเป็นเรื่องของโลกวัชชะ คือ โลกติเตียน หรือชาวบ้านติเตียน ต้องยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นและลาสิขา พ้นจากสมณเพศ การบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ต้องมีวินัย สำรวจกาย วาจา ใจ และประพฤติตนตามวินัยสงฆ์ ให้ชาวบ้านเลื่อมใสศรัทธา

สุธินันท์ คงสินธ์  รายงาน