8 กุมภาพันธ์ 2565 สืบเนื่องจากกรณี นายสมปอง นครไธสง หรืออดีตพระมหาสมปอง ซื้อดิน ส.ป.ก 300 ไร่ ที่จังหวัดชัยภูมิ เป็นที่วิพากษ์วิจารย์อย่างมาก และนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย (อ่านรายละเอียดที่นี่) ได้นำเรื่องดังกล่าวร้องไปยังเลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เพื่อขอให้ตรวจสอบที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดชัยภูมิ
สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เปิดเผยว่า ตามที่มีการนำเสนอข่าวในสังคมออนไลน์ และสื่อต่างๆ เกี่ยวกับกรณีอดีตพระมหาสมปอง ตาลปุตโต หรือนายสมปอง นครไธสง กว้านซื้อที่ดิน ส.ป.ก. ในท้องที่อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ กว่า 300 ไร่ เพื่อปลูกยางพารา หรือให้ญาติถือครองที่ดินแทนนั้น
สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ขอเรียนชี้แจงว่า พื้นที่ที่เป็นข่าว เดิมเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าภูซำผักหนาม (E) ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕๓๘ ประกาศราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๐ ตอนที่ ๘๑ วันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ โดย ส.ป.ก. ได้รับที่ดินมาและมีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่อำเภอคอนสาร อำเภอหนองบัวแดง กิ่งอำเภอภักดีชุมพล อำเภอหนองบัวแดง อำเภอเกษตรสมบูรณ์ อำเภอแก้งคร้อ และอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. ๒๕๓๑ ประกาศราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๕ ตอนที่ ๒๔๑ ลงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๓๑ ซึ่งเป็นการประกาศให้อำเภอคอนสารเป็นเขตปฏิรูปที่ดินทั้งอำเภอ
จากนั้นสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดชัยภูมิ (ส.ป.ก.ชัยภูมิ) จึงได้เข้าดำเนินการสำรวจรังวัดที่ดินเมื่อปี 2532 และ 2537 เพื่อให้ได้ขอบเขตเนื้อที่ของแปลงที่ดินแต่ละแปลงและรายชื่อผู้ครอบครองที่ดิน ต่อมาในปี 2539 ส.ป.ก. และกรมป่าไม้ ได้ร่วมกันดำเนินการตรวจสอบกันพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าภูซำผักหนาม (E) จังหวัดชัยภูมิ ในส่วนที่ยังเป็นป่าออกจากเขตปฏิรูปที่ดิน ตามบันทึกข้อตกลงเพื่อกันคืนพื้นที่ป่าออกจากเขตปฏิรูปที่ดิน (RF) พ.ศ. 2538 ออกมาได้เป็น 2 แปลง คือ RF แปลงที่ 15 เนื้อที่ประมาณ 10,997 ไร่และ RF แปลงที่ 20 เนื้อที่ประมาณ 4,223 ไร่ เมื่อทราบข่าว ส.ป.ก. ได้มอบหมายให้ส.ป.ก.ชัยภูมิลงพื้นที่ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงในทันที
โดยเจ้าหน้าที่ ส.ป.ก.ชัยภูมิได้ลงพื้นที่เมื่อวันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อสืบหาข้อมูลเพิ่มเติม จากผู้ปกครองท้องที่และราษฎรในพื้นที่เกี่ยวกับตำแหน่งและขอบเขตของแปลงที่ดินเทียบกับแผนที่แนวเขตปฏิรูปที่ดิน รวมทั้งตรวจสภาพการทำประโยชน์ในแปลงที่ดินที่เป็นข่าวแล้ว พบว่า ที่ดินส่วนใหญ่อยู่นอกเขตดำเนินการปฏิรูปที่ดิน และมีเพียง 1 แปลง เนื้อที่ประมาณ 7 ไร่ ที่อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน และเกษตรกรผู้ซึ่งได้รับอนุญาตฯ ยังคงทำประโยชน์ในที่ดินด้วยตนเองโดยการปลูกหมากและมะพร้าว
ทั้งนี้ ส.ป.ก. ไม่ได้นิ่งนอนใจและยังคงเดินหน้าตรวจสอบ การใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปจากข้อมูลการร้องเรียนผ่านสื่อมวลชน หนังสือร้องเรียน สายด่วน ส.ป.ก. และการลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบตามภารกิจอย่างต่อเนื่อง