หลังผลนับคะแนนการเลือกตั้งซ่อมกรุงเทพมหานครเขต 9 หลักสี่ – จตุจักร อย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งปรากฎว่า “นายสุรชาติ เทียนทอง” จากพรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะ รองลงมาคือ “นายกรุณพล เทียนสุวรรณ” จากพรรคก้าวไกล และ “นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี” จากพรรคกล้า ขณะที่ “นางสรัลรัศมิ์ เจนจาคะ” หรือมาดามหลี ภรรยา “นายสิระ เจนจาคะ” จากพรรคพลังประชารัฐ พ่ายแพ้อย่างไม่เห้นฝุ่น
ดร.ยุทธพร อิสรชัย นักวิชาการรัฐศาสตร์ ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า การที่ “พรรคเพื่อไทย” ได้รับชัยชนะถือว่า ไม่เหนือความคาดหมายเพราะเพื่อไทยมีฐานทั้งในแง่ของฐานพรรค และในแง่ของตัวบุคคลซึ่งนายสุรชาติ เทียนทอง อยู่ในพื้นที่มากว่า 17 ปีแล้ว จึงมีฐานเสียงแน่นประกอบกับการเข้าใจในพื้นที่ได้ดีอยู่ในพื้นที่ยาวนานตั้งแต่สมัยพรรคประชาราช ที่ได้คะแนนสองพันกว่าคะแนน ต่อมาได้เป็นได้เป็นผู้แทนในปี 2554 และแพ้พ่ายแพ้ในปี 2562 ก็แพ้เพียงแค่ 3 พันคะแนนเท่านั้น
ขณะที่ในส่วน “พรรคพลังประชารัฐ” ซึ่งมองว่าโอกาสที่จะได้เป็นรองพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว แต่คะแนนที่หลุดจากความคาดหมายเลยน่าจะมาจากปัจจัยหลายอย่าง เช่นกระแสของพรรค และกระแสจากภาพลักษณ์จากตัวนายสิระ นอกจากนี้พรรคพลังประชารัฐยังถือว่าถูกตัดคะแนนกันเองจาก “พรรคกล้า” และ “พรรคไทยภักดี” ทำให้ครั้งนี้คะแนนเสียงของพลังประชารัฐหายไปด้วย
ส่วนคะแนนที่ผลคะแนนออกมาเช่นนี้จะมองว่า “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ขายไม่ได้แล้วหรือไม่นั้น นายยุทธพร ระบุว่า “พล.อ.ประยุทธ์” ขายไม่ได้นานแล้ว ซึ่งในปี 2564 มีคำถามที่เกิดขึ้นกับพล.อ.ประยุทธ์ ทั้งทิศทางการเมือง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความชอบธรรมทางการเมือง และความไร้ประสิทธิภาพทางการเมือง บริหารงานเรื่องโควิดและเศรษฐกิจ ทำให้พรรคพลังประชารัฐไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องนี้
ทั้งนี้มองการพ่ายแพ้ของพรรคพลังประชารัฐอาจส่งผลต่อการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ที่ต้องให้รัฐบาลเป็นผู้เคาะที่จะกำหนดให้มีการเลือกตั้งยิ่งทำให้สถานการณ์แบบนี้ถ้าพลังประชานรัฐอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบมาก อาจจะยังไม่ยังไม่เห็นได้
เช่นเดียวกับดร.สุขุม นวลสกุล อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่ระบุว่าชัยชนะของพรรคเพื่อไทยเป็นไปตามคาด และฝ่ายรัฐบาลมีการแบ่งเสียงกันมากจากหลายพรรค แต่ที่น่าสนใจคือ “พรรคก้าวไกล” ที่เรียกได้คะแนนอย่างสง่างาม ซึ่งได้รับชัยชนะบางหน่วยในค่ายทหาร ทั้งนี้จะต้องจับตาต่อไปว่า “รัฐบาล” จะต้องทำอย่างไรต่อไปให้คนเห็นว่ายังไปได้ ซึ่งก่อนหน้านี้การที่นายกรัฐมนตรีไปเยือนซาอุฯ อาจเห็นว่าจะช่วยแต่แต่ไม่เป็นไปตามคาดหรือมากพอ ประกอบกับตัวผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐและการที่คนไม่รับรัฐบาลจึงส่งผลในเรื่องนี้
ทั้งนี้มองว่าหากผลการเลือกตั้งครั้งนี้ส่งผลให้ไม่เกิดการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ก็จะทำให้เกิดเรื่องใหญ่ได้ แต่ส่วนตัวมองว่าอย่างไรก็ต้องได้เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ก่อนจะมีการเลือกตั้งใหญ่แน่นอน
ขณะที่ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก นักวิชาการทางกฎหมาย มองว่า การทื่เพื่อไทยและก้าวไกลได้คะแนนเป็นจำนวนมากสะท้อนให้เห็นถึงนัยยะ ว่า คนที่อยู่ในเขตนั้นมองเห็นว่าส.ส.เดิม ไม่สามารถพัฒนาพื้นที่ไปได้มากเท่าไหร่ ซึ่งจะเชื่อมโยงกับพรรค และสะท้อนไปถึงภาวะการณ์ของพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งหากภาพร่วมในประเทศสะท้อนในลักษณะเดียวกันแสดงให้เห้นว่ามีโอกาสเปลี่ยนขั้วสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ระบบเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง และแสดงให้เห็นว่าเรื่องที่พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลเสนอโดยเฉพาะในเขตที่พรรคก้าวไกลได้คะแนนนำซึ่งจะต้องนำไปหารือและปรับเปลี่ยนว่าจะมีแนวคิดที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไรโดยรวมของประชาชนที่มีความเห็นที่แตกต่างกัน
ทั้งนี้หากวัดระหว่าง “เพื่อไทย” และ “ก้าวไกล” ประชาชนยังคิดว่าหากพอถึงเวลาที่จะต้องทำงาน จะต้องเอาวิถีในการทำงานการเมืองเป็นหลัก ไม่ใช่วิถีความคิดในทางการเมือง
ส่วนการพ่ายแพ้ของพรรคพลังประชารัฐไม่อาจเรียกได้ว่าพล.อ.ประยุทธ์ขายไม่ได้เพราะตอนนี้ ประชาชนบางส่วนยังคิดว่า สถานการณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ และพลังประชารัฐยัง 50-50 ว่าตกลงแล้วพล.อประยุทธ์จะอยู่กับพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ 3 ป.ยังเหนียวแน่นหรือเป็นการแสดงหรือไม่ จึงถือว่าอาจไม่ใช่คนไม่เอาพล.อ.ประยุทธ์ แต่คนไม่เอาพรรคพลังประชารัฐมากกว่า และสะท้อนว่าไม่เอาส.ส.เดิม
อย่างไรก็ตามมองว่าผลการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ไม่ส่งผลเกี่ยวกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เพราะกทม.มีหลายเขตอาจสะท้อนความคิดที่ต่างกันได้ และยังมีแนวทางให้พรรคอื่นๆ ได้หาเสียงและยังมีแนวคิดที่แตกต่างกันในระดับประเทศ
ดร.เจษฎ์ บอกด้วยว่าผลการเลือกตั้งซ่อมที่พรรคพลังประชารัฐพ่ายแพ้ขนาดนี้ ไม่ถึงขั้นต้องถามหาความรับผิดชอบจากใคร เนื่องจากเลือกตั้งซ่อมมีนัยยะที่น่าสนใจ คือ ประชาชนอาจต้องการปรับเปลี่ยนในระยะสั้นในช่วงนี้ หรือเป็นการชิมลางว่าในระยะเวลาที่เหลือจะสามารถปรับเปลี่ยนอะไรได้บ้าง หรือผลักดันให้รัฐบาลทำงานมากขึ้นหรือสนใจประขาชนมากขึ้น และคราวหน้าประชาชนอาจกลับมาเลือกก็ได้หากมีการปรับเปลี่ยนมากขึ้น ประกอบกับตัวผู้สมัครที่ประชาชนตั้งการยังไม่มีและประชาชนเพราะประชาชนไม่ต้องการมวยแทน