ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินทิศทางการขาดดุลงบประมาณในช่วงปี 2565-2566 จากวงเงินงบประมาณปี 2566 ที่ครม. เพิ่งมีมติเห็นชอบเมื่อ 4 มกราคม 2565 ที่ผ่านมา
สะท้อนว่า รัฐบาลไทยยังคงทำงบประมาณแบบขาดดุลต่อเนื่องในปี 2566 ที่ 6.95 แสนล้านบาท ลดลงจากยอดขาดดุลประมาณ 7.0 แสนล้านบาทในปีงบฯ 2565
อย่างไรก็ดีระดับการขาดดุลดังกล่าวยังคงอยู่สูงกว่าในช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 และจะมีผลต่อแผนการก่อหนี้ของภาครัฐในช่วงไตรมาสที่ 4/2565
ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ยอดคงค้างหนี้ในประเทศของภาครัฐในปี 2565 (ตามปีปฏิทิน) มีโอกาสแตะระดับ 9.90 ล้านล้านบาท หรือขยับขึ้นประมาณ 1.50 ล้านล้านบาทจากยอดคงค้างฯ ในปี 2564 ในจำนวนนี้หลักๆ น่าจะเป็นการระดมทุนผ่านการออกพันธบัตรรัฐบาลและตั๋วเงินคลังมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ผลกระทบต่อระดับสภาพคล่องของตลาดพันธบัตรไทยในภาพรวมจะยังอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากคาดว่า ธปท. จะปรับลดวงเงินการออกพันธบัตรของธปท. ในปี 2565 ลง และไถ่ถอนพันธบัตรบางส่วน
ส่งผลทำให้ยอดคงค้างพันธบัตรของธปท. มีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 อีก 0.55 ล้านล้านบาท มาอยู่ที่ระดับ 2.38 ล้านล้านบาท เพื่อช่วยปล่อยสภาพคล่องคืนกลับเข้าสู่ตลาด และเปิดพื้นที่ให้กับปริมาณพันธบัตรรัฐบาลที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตามแผนการกู้เงินเพื่อรองรับมาตรการฟื้นฟูผลกระทบจากโควิด-19
สำหรับผลต่อสภาพคล่องในระบบนั้น คงต้องยอมรับว่า ปัจจัยการกู้เพิ่มของภาครัฐจะทำให้มีการทยอยใช้สภาพคล่องในระบบ แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า สภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์ในปี 2565 ยังน่าจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงและมีโอกาสขยับขึ้นเล็กน้อย (แม้ว่าขนาดการปรับขึ้นอาจจะไม่สูงเท่ากับในปี 2564) เนื่องจากสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์อาจเติบโตในกรอบที่จำกัด ขณะที่ภายใต้สถานการณ์ที่โควิด-19 ยังยืดเยื้อน่าจะทำให้ยังคงมีการกอดสภาพคล่องในรูปเงินฝากอยู่
จุดเปลี่ยนสำคัญต่อทิศทางสภาพคล่องของระบบการเงินไทยในปี 2565 จะอยู่ที่สถานการณ์เงินทุนเคลื่อนย้ายที่อาจต้องระวังการเปลี่ยนทิศมาเป็นฝั่งไหลออก โดยเฉพาะตั้งแต่ในช่วงไตรมาส 2/2565 เป็นต้นไป
สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยนั้น คาดว่า กนง.มีแนวโน้มยืนอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ในช่วงเวลาส่วนใหญ่ของปี 2565 เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย