นายพรพหม วิกิตเศรษฐ์ ทีมงานด้านสิ่งแวดล้อมของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ในนามอิสระ และอดีตผู้ร่วมก่อตั้งองค์กร New Dem หรือ กลุ่มคนรุ่นใหม่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โพสต์เฟสบุ๊คส่วนตัวว่า
อยากให้ผู้สมัครเลือกตั้งซ่อมหลักสี่-จตุจักร ใช้เวทีนี้เป็นโอกาสเสนอนโยบายระดับเมือง - เปิดกว้างให้ “พื้นที่ราชการ” เป็น “สวนสาธารณะ” ซึ่งช่วงนี้ประเด็นร้อนทางการเมือง ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องเลือกตั้งซ่อมในเขตต่างๆ หนึ่งในนั้นคือ กทม.เขต 9 (เขตหลักสี่ และเขตจตุจักร (ยกเว้นแขวงจตุจักร และแขวงจอมพล)) เป็นเวทีสำคัญที่ผู้สมัครแต่ละท่านจะต้องรับรู้และเข้าใจถึงปัญหาต่างๆของชาวหลักสี่-จตุจักร แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับแนวทางการแก้ปัญหาและแผนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำท่วม รถติด หรือปัญหาที่เกี่ยวโยงกับคลองเปรมประชากร แต่มีหนึ่งประเด็นที่ผมอยากจะชักชวนผู้สมัครมาช่วยผลักดันซึ่งเกี่ยวข้องกับหลักสี่โดยตรง คือการเปิดกว้างให้ “พื้นที่ราชการ” เป็น “สวนสาธารณะ”
นายพรพหม กล่าวว่า ทำไมต้องเรื่องนี้ ก็เพราะสวนสาธารณะคือหัวใจสำคัญของสังคมเมือง เป็นพื้นที่ส่วนรวมที่ให้คนมานัดพบทำกิจกรรมร่วมกัน เป็นที่ตั้งของต้นไม้นานาชนิดที่ช่วยกรองอากาศ ดูดซับฝุ่นพิษ PM 2.5 และยังเป็นแหล่งสำคัญในการช่วยชะลอน้ำท่วมจากพายุฝน และก็เป็นที่รู้กันว่าปัจจุบันกรุงเทพฯมีพื้นที่สาธารณะไม่เพียงพอ เพราะกรุงเทพฯมีสัดส่วนสวนสาธารณะต่อประชากรที่ต่ำกว่า 4 ตร.ม. ต่อ คน ซึ่งน้อยกว่ามาตรฐานพื้นที่สีเขียวที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้ที่ 9 ตร.ม. ต่อ คน ด้วยเหตุนี้ทำให้การส่งเสริมพื้นที่สาธารณะมีความสำคัญมาก โดยมีหลายแนวทางที่ทำได้
ส่วนเรื่องการผลักดันการเปิดกว้างสำหรับ “พื้นที่ราชการ” กลายมาเป็น “สวนสาธารณะ” ที่ประชาชนจะเข้ามาใช้ประโชน์ได้ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เนื่องจากสถานราชการต่างๆมีพื้นที่มากมาย โดยเฉพาะพื้นที่สีเขียว ซึ่งปัจจุบันยังมีข้อจำกัดด้านการเปิดให้ประชาชนเข้าไปใช้ บางที่ดีหน่อยเปิดให้ใช้ได้แต่มีเวลาปิด-เปิดตามการกำหนดของหน่วยงานนั้นๆ ส่วนบางที่ประชาชนไม่สามารถเข้าไปใช้ได้เลย เนื่องจากอยู่ภายในรั้วของหน่วยงาน ใช้ได้เฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้อง จะเป็นประโยชน์มาก ถ้ามีการผลักดันให้หน่วยงานเหล่านั้นเปิดกว้างให้ประชาชนเข้าไปใช้ได้ หลักคิดง่ายๆของการที่ “พื้นที่ราชการ” มาจากเงินของประชาชน แปลว่าพื้นที่นี้ควรที่จะต้องเปิดกว้างให้ประชาชนเข้ามาใช้ได้เช่นกัน
ทั้งนี้ เหตุผลที่ต้องเป็นเขตหลักสี่ ก็เพราะเวลาพูดถึงหลักสี่ หนึ่งในสิ่งแรกๆที่นึกถึงคือการเป็นเขตที่ตั้งของศูนย์ราชการและหน่วยงานภาครัฐต่างๆ โดยเฉพาะในแขวงทุ่งสองห้อง ซึ่งพบว่าพื้นที่สีเขียวเยอะจริง แต่ส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้เปิดกว้าง ด้วยความสงสัย ผมเลยลองเข้าไปดูข้อมูลสวนสาธารณะของกรุงเทพฯ จัดเก็บโดยสำนักสิ่งแวดล้อม กทม. พบว่า
- เขตหลักสี่ มีสวนสาธารณะทั้งหมด 207 แห่ง อยู่อันดับที่ 8 (จาก 50) ของเขตที่มีจำนวนสวนสาธารณะมากที่สุด
- มีขนาดพื้นที่สวนสาธารณะ 1,829,759.24 ตร.ม (อันดับที่ 5)
- มีสัดส่วนพื้นที่สวนสาธารณะต่อจำนวนประชากร 17.48 ตร.ม. ต่อ คน (ประชากร - 104,701) (อันดับที่ 5) ซึ่งมากกว่ามาตรฐาน WHO ที่กำหนดไว้ที่ 9 ตร.ม. ต่อ คน เกือบเท่าตัว
- แถมไม่ได้มีสวนระดับเมือง (City Park) ที่มีขนาดพื้นที่มากกว่า 500 ไร่ (เช่นสวนลุมพินี สวนหลวง ร.๙) ที่มาช่วยดึงตัวเลขของเขตขึ้น
จากข้อมูลเบื้องต้นเหล่านี้ พบว่าเขตหลักสี่มีความโดดเด่นเรื่องพื้นที่สีเขียวและเป็นที่น่าชื่นชม แต่เมื่อได้เจาะลึกถึงรายละเอียดก็พบว่าข้อมูลของสวนสาธารณะฉบับเดียวกันนี้ ได้ระบุรายชื่อของสวนสาธารณะที่มี พื้นที่มากกว่า 25 ไร่ในแต่ละเขต (ระดับสวนชุมชน สวนระดับย่าน และสวนระดับเมือง) ซึ่งในเขตหลักสี่มี 11 แห่ง รวมทั้งหมด 918 ไร่ ได้แก่ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ, ไปรษณีย์ไทย, กองพลาธิการ กองพลที่ 1 รักษาพระองค์, กสท, TOT, กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์, สวนหย่อมการประปานครหลวง ทุ่งสองห้อง, กองบัญชาการทหารสูงสุด, ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 (อาคาร A), สวนหย่อมมหาวทิยาลัยธุรกิจบัณฑิต แขวงทุ่งสองห้อง และ กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน จะมีเพียงศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ที่มี 58 ไร่ + 40 ไร่ และ สวนหย่อมมหาวทิยาลัยธุรกิจบัณฑิต ทุ่งสองห้อง 40 ไร่ ที่เปิดกว้างต่อสาธารณะ (รวม 138 ไร่) ซึ่งเท่ากับว่า 780 ไร่ ในพื้นที่หลักสี่ ที่ระบุมา เป็น “พื้นที่ราชการ” ประชาชนทั่วไปไม่สามารถใช้บริการสาธารณะได้ เนื่องจากเป็นพื้นที่ของหน่วยงานต่างๆที่เข้าได้เฉพาะบุคคลที่เกี่ยวข้อง และไม่ควรที่จะถูกระบุว่าเป็น “สวนสาธารณะ”
จากข้อมูลตรงนี้ ถ้าเราคำนวนข้อมูลสวนสาธารณะของหลักสี่ใหม่ที่แยก “พื้นที่ราชการ” ออกไป
- จากเดิมที่มีขนาดพื้นที่สวนสาธารณะ 1,829,759.24 ตร.ม จะกลายเป็น 581,759.24 ตร.ม (ลดลงจากอันดับที่ 5 เป็นที่ 25)
- จากเดิมที่มีสัดส่วนพื้นที่สวนสาธารณะต่อจำนวนประชากร 17.48 ตร.ม. ต่อ คน จะกลายเป็น 5.56 ตร.ม. ต่อ คน (ลดลงจากอันดับที่ 5 เป็นที่ 19)
“ตัวเลขเหล่านี้พิสูจน์ว่าแค่ถ้ามีการเปิดกว้างของ “พื้นที่ราชการ” จะทำให้ชาวหลักสี่ได้ประโยชน์จากการเข้าไปใช้พื้นที่สีเขียว จะทำให้มีสัดส่วนพื้นที่สวนสาธารณะต่อจำนวนประชากรที่เกินมาตรฐานที่ WHO กำหนดไว้ บ่งบอกถึงคุณภาพชีวิตที่ควรจะได้รับ ซึ่งทั้งหมดนี้ ดำเนินการโดยไม่ต้องไปลงทุนอะไรเพิ่มมากมาย ไม่ต้องไปตระเวนหาพื้นที่ใหม่เพื่อเปลี่ยนเป็นสวน “Inclusiveness” หรือ การการพัฒนาที่ครอบครอบคลุม คือคอนเซ็ปที่มาแรง โดยเน้นถึงความต้องการให้ทุกการตัดสินใจต้องคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดต่อคนทุกกลุ่ม เน้นถึงหลักคิดของการทำให้ทุกคนเข้าถึงบริการทางสังคมและโอกาสทางเศรษฐกิจได้ แนวทางที่ผมพูดถึงในโพสต์นี้คือหนึ่งตัวอย่างที่ชัดเจนของ “Inclusiveness” ตนจึงขอชักชวนให้ผู้สมัครเลือกตั้งซ่อมหลักสี่-จตุจักรทั้งหลายลองพิจารณาประเด็นนี้ และนำไปเสนอต่อสาธารณะกับสื่อมวลชน”