4 ปัจจัยส่ง"พรรคกล้า"ปักธงเลือกซ่อมจตุจักร-หลักสี่

แต่อีกพรรคการเมืองที่บรรดาคอการเมืองไม่ควรมองข้าม คือ "พรรคกล้า" 

 

แม้จะเป็นพรรคใหม่ที่ขอชิมลางเลือกตั้งซ่อมสนามแรกใน กทม. เขต "หลักสี่-จตุจักร" และวางเดิมพันสูงด้วยการส่ง นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรค ลงสมัครในเขตนี้ ซึ่งเจ้าตัวเองก็ยอมรับว่า "เสี่ยงมาก เพราะถ้าแพ้ก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ของพรรคเหมือนกัน"

 

แต่จากการเช็คกระแสภายในพรรคกล้า ได้ข้อมูลว่าทางพรรค ตั้งความหวังกับการเลือกตั้งซ่อมเขตนี้เป็นพิเศษ และเชื่อว่ามีโอกาสพลิกชนะ ด้วยเหตุผล คือ

1.นายอรรถวิชช์ เคยเป็น ส.ส.เก่าในเขตนี้ เมื่อสมัยสังกัดพรรคประชาธิปัตย์

 

2.การเลือกตั้งปี 62 ซึ่งนายอรรถวิชช์ ยังสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ได้ขยับไปลงเขตอื่น เพื่อขยายฐานให้พรรค และเปิดทางให้ "ผู้การแต้ม" พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ลงสมัครแทน แม้ "ผู้การแต้ม" จะพ่ายแพ้ แต่ก็ได้คะแนนมา 16,255 คะแนน และมีคะแนนส่วนตัวด้วยจำนวนหนึ่ง ซึ่งในการเลือกตั้งหนนี้ พรรคประชาธิปัตย์ไม่ส่งผู้สมัคร ฉะนั้นคะแนนพรรค และคะแนนของ "ผู้การแต้ม" จึงมีโอกาสเทมาที่นายอรรถวิชช์

 

3.นายสกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าฯกทม. มีฐานเสียงและหัวคะแนนในเขตนี้ โดยนายสกลธี เคยเป็นอดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ และสนิทสนมกับ นายอรรถวิชช์ ก่อนจะย้ายไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐ แต่ปัจจุบันนายสกลธีลาออกจากพลังประชารัฐแล้ว จึงมีแนวโน้มเทคะแนนและหัวคะแนนมาให้นายอรรถวิชช์

สำหรับนายสกลธี ยังถือเป็นคีย์แมนคนสำคัญที่ช่วยให้ นายสิระ เจนจาคะ พลิกชนะพรรคเพื่อไทย ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.สมัยแรกในเขตนี้เมื่อปี 62 ด้วย โดยนายสกลธี เป็นเพื่อนโรงเรียนเซนต์คาเบรียล และคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กับนายอรรถวิชช์ และเคยอยู่พรรคประชาธิปัตย์ด้วยกัน รวมทั้งใช้หัวคะแนนร่วมกัน จึงมีโอกาสสูงที่จะหันมาช่วยนายอรรถวิชช์ เพื่อนเก่า

 

4.เขตเลือกตั้ง ส.ส.กทม.เขต 9 ไม่ได้มีแค่พื้นที่หลักสี่ แต่ยังมีพื้นที่จตุจักรด้วย ซึ่งเป็นพื้นที่ฐานเสียงสำคัญของนายอรรถวิชช์ และเป็นพื้นที่ที่พรรคกล้าทำกิจกรรมทางการเมืองมาตลอด เช่น ศูนย์ช่วยเหลือผู้เดือดร้อนในสถานการณ์โควิดของพรรคกล้า ก็ตั้งศูนย์ใหญ่ที่สุดที่จตุจักร ฉะนั้นพรรคกล้าจึงถือว่ามีโอกาสปักธงได้ในการเลือกตั้งซ่อมหนนี้