svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

"โควิดโอมิครอน" ระบาดในไทย สธ.เผยตัวเลขกระจายไปแล้ว 33 จังหวัด

29 ธันวาคม 2564
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

อัปเดตสถานการณ์โควิดโอมิครอน สธ. เผยโควิดสายพันธุ์โอมิครอน ระบาดในไทยเพิ่มขึ้น ยอดสะสม 740 ราย ขณะนี้กระจายไปแล้ว 33 จังหวัดทั่วประเทศ

ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์โควิดโอมิครอนล่าสุด โดยทางด้าน นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผย ผลการจำแนกไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เฝ้าระวัง ตั้งแต่เปิดประเทศ (1 พ.ย.64) ล่าสุด พบติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอนสะสมจำนวน 740 ราย แยกเป็น ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 489 ราย ติดเชื้อในประเทศ 251 ราย กระจายใน 33 จังหวัด

 

"โควิดโอมิครอน" ระบาดในไทย สธ.เผยตัวเลขกระจายไปแล้ว 33 จังหวัด

สำหรับในประเทศไทย นับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา ได้มีการเปิดให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศ และตรวจสายพันธุ์มาโดยตลอด ภาพรวมของการตรวจสายพันธุ์ ประมาณ 8,000 ตัวอย่าง พบโอมิครอนสะสมตั้งแต่รายแรกที่พบในประเทศไทย เมื่อ 2 สัปดาห์คือ 740 ราย

ถ้าเทียบกับภาพรวม สะสมมาตั้งแต่ต้นคือประมาณ 8-9 % พบในเกือบทุกเขตสุขภาพยกเว้น เขต 2 เขตเดียว โดยเขต 2 มี 5 จังหวัด คือพิษณุโลก ,อุตรดิตถ์ ,เพชรบูรณ์ ,สุโขทัย ,ตาก สำหรับเขตอื่นที่อยู่ในกรุงเทพฯ เขต 13 เนื่องจากตรวจในกลุ่มคนที่เดินทางมาจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก รองลงมาเป็นเขต 7 ก็คือขอนแก่น ,กาฬสินธุ์ ,มหาสารคาม ที่มี cluster ใหญ่เกิดขึ้น ตัวเลขจึงค่อนข้างมาก อีกเขตที่เริ่มพบคือ เขต 11 ภาคใต้ มีภูเก็ต , สมุย "โควิดโอมิครอน" ระบาดในไทย สธ.เผยตัวเลขกระจายไปแล้ว 33 จังหวัด

สำหรับพื้นที่ที่พบเชื้อโอมิครอน พบใน 33 จังหวัดพบว่ามีอย่างน้อย 1 รายพบในเกือบทุกเขตสุขภาพยกเว้นเขตสุขภาพที่ 2 เขตเดียว ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและมีผู้ที่สัมผัสเสี่ยงในประเทศอยู่บ้าง

 

กรณีของผู้ที่ติดเชื้อภายในประเทศ ส่วนใหญ่ก็จะเกี่ยวโยงกับที่เดินทางมาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะคลัสเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดก็คือที่กาฬสินธุ์

 

ทั้งนี้ พบว่ามีจำนวน 19 จังหวัดเป็นการติดเชื้อในประเทศ แต่ผูกโยงกับคนที่ติดเชื้อมาจากต่างประเทศ สรุปคือ ใน 740 รายเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 489 ราย เป็นผู้ที่ติดเชื้อภายในประเทศ 251 ราย

 

"โควิดโอมิครอน" ระบาดในไทย สธ.เผยตัวเลขกระจายไปแล้ว 33 จังหวัด

เครดิตภาพข่าวจาก : กระทรวงสาธารณสุข

logoline