“รั้วพ่อขุน”จี้สอบอธิการม.รามส่อแววทุจริตรับโอนที่ 2 แปลงปริศนา

21 ธันวาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครือข่ายพิทักษ์คุณธรรม มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้ออกแถลงการณ์หลังยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. และอุปนายกสภามหาวิทยาลัยรามคำแหง เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. ที่ผ่านมา เพื่อขอให้ตรวจสอบ ผศ.สืบพงษ์ ปราบใหญ่ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง

โดยเนื้อหา ระบุว่า อธิการบดีคนปัจจุบันเข้าข่ายร่ำรวยผิดปกติ เนื่องจากได้รับโอนที่ดินจำนวน 2 แปลง ในพื้นที่อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก หลัง ป.ป.ช. ได้ตั้งข้อหาบุคคลผู้โอนทรัพย์สินนั้น ร่ำรวยผิดปกติ จึงอาจเข้าข่ายเป็นผู้สนับสนุน ทุจริตต่อหน้าที่ ด้วยการซุกซ่อน ปกปิดแหล่งที่มาทรัพย์สิน เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ว่าก่อน ขณะ หรือหลังกระทำความผิด มิต้องให้รับโทษหรือรับโทษน้อยลง

ขณะเดียวกัน ที่ดินดังกล่าวยังได้ถูกศาลฎีกาพิพากษาให้ยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 469/2561 จึงเห็นว่าการกระทำดังกล่าว อาจเข้าข่ายการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561

ทั้งนี้ จึงขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบว่าเข้าข่ายความผิดตามกฎหมาย ป.ป.ช. รวมถึง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 หรือไม่ และขอให้มหาวิทยาลัยรามคำแหง ตรวจสอบคุณสมบัติว่าเข้าข่ายลักษณะต้องห้ามตามข้องบังคับมหาวิทยาลัยรามคำแหงว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้บริหาร พ.ศ. 2562 หรือไม่ พร้อมทั้ง ขอให้ตรวจสอบพฤติการณ์ปกปิดข้อมูลไม่ให้มหาวิทยาลัยรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการยึดทรัพย์ตามคำพิพากษา

อย่างไรก็ตาม เครือข่ายจะติดตามการทำงานของ ป.ป.ช. และมหาวิทยาลัย อย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เรื่องนี้ซ้ำรอยกับ “คดีบอส” ต่อไป

อนึ่ง โฉนดที่ดิน จำนวน 2 แปลงนี้ เป็นชื่อของ นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม โดยเซ็นโอนให้กับ นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ และ น.ส.สุทธาวรรณ ทรัพย์ล้อม เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2563

สำหรับ นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดคมนาคม เคยตกเป็นผู้ต้องหาร่ำรวยผิดปกติด เมื่อปี 2555 จากการชี้มูลตามมติ ป.ป.ช.

โดยนายสุพจน์ ก่อนถูกชี้มูลความผิด เคยตกเป็นประเด็นกรณีคนร้ายบุกปล้นเอาเงินสินสอดลูกสาวภายในบ้านพัก จำนวน 5 ล้านบาท เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2554 ก่อนที่ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัวคนร้ายได้ พร้อมรับสารภาพจะมาปล้นเงิน จำนวน 500 ล้านบาท แต่ขนไปได้เพียง 200 ล้านบาท

จากประเด็นดังกล่าวเป็นเหตุให้นายสุพจน์ ถูกยื่นตรวจสอบทรัพย์สินเวลาต่อมา โดยป.ป.ช.พบว่ามีการปกปิดข้อมูล 2 รายการ คือ เงินสดจำนวน 17 ล้านบาท และรถตู้โฟล์คสวาเกน 1 คัน มูลค่า 3 ล้านบาท ก่อน ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดฐานร่ำรวยผิดปกติ เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2555 พร้อมส่งเรื่องให้กับอัยการเพื่อดำเนินการสั่งฟ้อง

กระทั่งศาลชั้นต้นพิพากษายึดทรัพย์ นายสุพจน์ จำนวน 46 ล้านบาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน จำนวน 64 ล้านบาท ก่อนที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษา เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 2561 ให้จำคุกนายสุพจน์ เป็นเวลา 10 เดือน โดยไม่รอลงอาญา

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2562 นายสุพจน์ ได้รับพระราชทานอภัยโทษ และถูกปล่อยตัวออกมา ก่อนจะมาเป็นประเด็นอีกครั้ง เมื่อ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ได้แต่งตั้งให้ นายสุพจน์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ ก่อนถูกกระแสคัดค้าน และขอลาออก เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2563