วันนี้ (20 พ.ย.) ที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน กล่าวถึงมาตรการดูแลราคาน้ำมันขายปลีกของไทย ว่า เรื่องการดูแลเรื่องน้ำมันทำได้ทั้งการใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ซึ่งขณะนี้รัฐบาลตัดสินใจใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นหลักก่อน ขณะนี้ได้รับอนุมัติวงเงินกู้แล้ว 2 หมื่นล้านบาท และหากไม่เพียงพอก็มีอีก 1 หมื่นล้านบาท
เนื่องจากยังไม่รู้ว่าสถานการณ์ราคาขายปลีกน้ำมันจะเป็นอย่างไรต่อไป ในอนาคตการตรึงราคาไว้ที่ 30 บาทอาจจะเป็นราคาที่ต่ำเกินไปสำหรับราคาตามตลาดโลกก็ได้ หรือถ้าแนวโน้มราคาน้ำมันโลกลดลง ในประเทศก็จะลดลงต่ำกว่า 30 บาท
ส่วนเรื่องที่ภาคการขนส่งจะขึ้นราคาค่าโดยสารตามราคาน้ำมันที่แพงขึ้นนั้น เป็นไปตามกลไกตลาดที่ผู้ให้บริการและประชาชนต่างก็ทราบดีถึงสิ่งที่เกิดขึ้น การจะปรับขึ้นราคานั้นห้ามกันไม่ได้ เพราะเป็นมาตรการทางการค้าเสรี
ส่วนกรณีประเด็น เรื่องของการที่รัฐบาลจะให้ใช้รถทหารในการขนส่งสินค้านั้น ไม่ใช่การที่รัฐบาลจะให้ทหารมาทำหรือแข่งขันในเชิงธุรกิจ เป็นเพียงแผนสำรองที่ใช้ช่วยบริการประชาชน ในกรณีที่สหพันธ์ขนส่งมีการหยุดเดินรถ แล้วผู้ประกอบขนส่งมีความเดือดร้อน รัฐบาลจะเข้าไปแก้ไขโดยอยู่ภายใต้กฎหมาย ให้เศรษฐกิจยังคงเดินต่อได้ ซึ่งไม่ใช่เพียงการใช้รถทหารเท่านั้น แต่เบื้องต้นมีเครื่องมือขนส่งที่อยู่ในสังกัดของกระทรวงคมนาคม อาทิ รถไฟ หรือแม้กระทั่งขอความร่วมมือจากรถขนส่งของไปรษณีย์ไทย และสุดท้ายหากไม่เพียงพอจริง จึงจะพิจารณาใช้รถทหารมาช่วย
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแผนสำรองในเหตุจำเป็นจริง ไม่ได้มีประเด็นอะไรเลย หวังว่าคงไม่ได้ใช้ ขอการพูดคุยให้ได้ข้อสรุป ให้มองเรื่องของประเทศเป็นสำคัญ ราคามันน้ำดีเซลหมุนเร็วของไทย ตอนนี้เราไม่ได้สูงที่สุด อยู่ที่ อันดับ 5-6 เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านในอาเซียน ดังนั้นจะไปทำให้ราคาต่ำกว่าได้อย่างไร