การประชุมร่วมรัฐสภา วันนี้ (16 พ.ย.64) เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ในฐานะผู้ร่วมเสนอร่างชี้แจงเหตุผลของการมีสภาเดียวว่า มีเหตุผลเชิงประจักษ์ที่ไม่จำเป็นต้องมีวุฒิสภา คือผลงานของ ส.ว.ชุดปัจจุบันที่พบว่า ส.ว. มักเห็นด้วยกับร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) และพระราชกำหนด แม้สภาฯ จะไม่เห็นด้วย และมีเพียงฉบับเดียวที่ไม่เห็นด้วย คือ ร่างพ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่…) พ.ศ… ดังนั้น ตรงไหนที่ส.ว.ทำหน้าที่ถ่วงดุลกลั่นกรองกฎหมาย ก็คือ ไม่มีเลย
จากการชี้แจงของนายปิยบุตร ทำให้นายกิตติศักดิ์ รัตวราหะ ส.ว. ลุกประท้วงว่า ชี้แจงข้อเท็จจริง พร้อมระบุว่า ส.ว. มาตามรัฐธรรมนูญ แต่คนที่กำลังอภิปรายนั้น ไม่สมควรที่จะมาชี้แจง หรือเสนอรัฐธรรมนูญเพราะเป็นคนเนรคุณแผ่นดิน
การประท้วงของนายกิตติศักดิ์ ทำให้ ส.ส.พรรคก้าวไกล ลุกประท้วงและขอให้ถอนคำพูด ซึ่งนายพรเพชร วิชิตชลชัยรองประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานที่ประชุมพยายามควบคุมการประชุม และขอให้ถอนคำพูด นายกิตติศักดิ์ จึงกล่าวว่า “ขอถอนคำว่า จากเนรคุณแผ่นดิน แต่เปลี่ยนเป็นคนที่ต้องการล้มสถาบัน” ทำให้นายพรเพชร กล่าวว่า เป็นคำที่ไม่เหมาะสมขอให้ถอนคำพูด ในที่สุด นายกิตติศักดิ์ ก็ยอมถอนคำพูดดังกล่าว
นายปิยบุตร กล่าวว่า ตนเพิ่งเคยเห็นประวัติศาสตร์ประชุมสภาฯ ว่ามีสมาชิกลุกกล่าวหาผู้อภิปราย แต่ไม่เป็นไร เพราะตนถือคติไม่เคยฟ้องดูหมิ่นใคร เชิญวิจารณ์ไป เพราะประชาชนจะวินิจฉัยเองว่ามี ส.ว. แบบนี้สมควรมีสภาเดี่ยวหรือสภาคู่ต่อไป
จากนั้น นายปิยบุตร ได้ชี้แจงต่อว่า ผู้ตรวจของสภาฯ ที่จะตั้งไม่มีอำนาจกลับคำพิพากษา แค่ศึกษาในคำวินิจฉัยเท่านั้น ดังนั้นหลักการแบ่งแยกอำนาจยังมี เพราะไม่ได้แทรกแซงคำตัดสินของศาล การแก้ไขรัฐธรรมนูญยกเลิกส.ว.เพราะให้มีสภาเดียว แต่การแก้รัฐธรรมนูญต้องขอความเห็นชอบจากส.ว. 84 เสียง สะท้อนให้เห็นถึงความผิดปกติของการออกแบบรัฐธรรมนูญตั้งแต่ต้น หากไม่มีส.ว.ช่วยเหลือ ไม่มีทางผ่านส.ว.คือ ผู้ออกใบอนุญาตทุกครั้งว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใดจะแก้ได้หรือไม่ แต่ผมเชื่อว่าจะมีสมาชิกวุฒิสภาที่เห็นความสำคัญ
ทั้งนี้ หากมีสภาเดียวแล้ว อาจมีสภาที่ปรึกษาก็ได้ เพียงแต่ขอบอำนาจไม่อยู่ในกระบวนการนิติบัญญัติ