นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 (ศบค.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน กระทรวงสาธารณสุข หารือถึงปัญหาที่ตรวจพบว่า ในตอนนี้ การฉีดวัคซีนไม่ได้รวดเร็วเหมือนเดิมแล้ว ทั้งๆที่เปิดประเทศและมีวัคซีนเข้ามามากขึ้น อาจจะเกิดจากกลุ่มคนที่อยากฉีดมาฉีดไปแล้ว คนที่ลังเลยังไม่ตัดสินใจ แต่พบว่า เมื่อมีวัคซีนเข้ามามากขึ้น คนสนใจชนิดสูตรไขว้มากขึ้น เช่น แอสตร้าเซนเนก้าและไฟเซอร์ เป็นต้น
กระทรวงสาธารณสุข จึงได้เตรียมจัดกิจกรรมสัปดาห์การฉีดวัคซีน ในช่วงระหว่างวันที่ 27 พฤศจิกายน-ธันวาคม 2564 นี้ หรือบางจังหวัดที่มีการจัดกิจกรรมสร้างแรงจูงใจให้คนมาฉีดวัคซีน หรืออาจจะให้โชว์เอกสารการฉีดวัคซีน หรือเมื่อฉีดแล้วให้จับสลากเป็นของรางวัล ขอให้ กระทรวงมหาดไทย ดำเนินการช่วยกันหาคนที่ยังไม่เข้ารับการฉีดวัคซีนมาฉีดเพิ่มเติม
นอกจากนี้ ในฐานข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข ได้เปิดเผยข้อมูล ณ วันที่ 14 พฤศจิกายน เวลา 18.00 น. ว่า มีจังหวัดที่มีการครอบคลุมการได้รับวัคซีนโควิดเข็มที่ 1 ในอัตราต่ำที่สุด จำนวน 10 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดนครพนม,หนองบัวลำภู,บึงกาฬ,สกลนคร,กาฬสินธุ์,แม่ฮ่องสอน,สุรินทร์,ร้อยเอ็ด,ยโสธร และ จังหวัดอ่างทอง
ล่าสุด 16 พ.ย. 2564 ผู้สื่อข่าวได้สอบถามบุคคลที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มแรก คือนายสอน ศรวงค์ อายุ 69 ปี ชาวคุ้มชุมชนวัดพระอินทร์แปลง เขตเทศบาลเมืองนครพนม ขณะเดินออกกำลังกายบริเวณริมแม่น้ำโขง ว่า ติดตามข่าวสารแล้วกลัวเมื่อฉีดวัคซีนแล้วจะมีผลข้างเคียงตามที่เป็นข่าว
ประกอบกับตนเอง มีโรคประจำตัวจึงไม่กล้าฉีด แต่ก็มีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เข้ามาบอกให้ไปฉีด ตนยังไม่ตัดสินใจเพราะลูกสาวจะพาไปฉีดที่จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นวัคซีนที่ต้องจ่ายเงินเองแต่มีความปลอดภัยกว่า
จังหวัดนครพนม มีประชากร 717,588 คน ยอดฉีดวัคซีนที่ประชาชนควรจะได้รับ เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันระดับจังหวัด จำนวน 502,312 คน หรือ 70 % ปรากฏว่ามีประชาชนฉีดเข็มแรกแล้ว 280,398 คน หรือเพียง 39.08 % เท่านั้น ส่วนเข็มที่สองมีจำนวน 226,230 คน หรือ 31.53 % และเข็มที่สามมี 9,214 คน หรือ 1.28 % (ข้อมูล ณ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2564)
จังหวัดนครพนม จึงกลายเป็นจังหวัดที่มีผู้ได้รับฉีดวัคซีนเข็มแรกต่ำที่สุดในประเทศ แม้จะมีการรณรงค์ผ่านหลายช่องทางแล้วก็ตาม แต่ไม่มีการตอบรับจากประชาชนเท่าที่ควร
ในขณะที่ ทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม (สสจ.ฯ) ก็ไม่มีนโยบายที่ชัดเจนแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา ในการรณรงค์หรือทำความเข้าใจแก่ประชาชน ทำให้เกิดจุดบกพร่องทั้งด้านมาตรการป้องกันและแก้ไข เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันได้เปลี่ยนไป เพราะมีการเปิดประเทศนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าพื้นที่โดยอิสระมากขึ้น
การแพร่ระบาดของโรคโควิดจึงไม่ได้อยู่เพียงจุดเดียว แต่จะเป็นแบบกระจายตัว แตกต่างจากเชื้อนำเข้าจากพื้นที่เสี่ยงที่ผู้เดินทางเข้าสู่ระบบสาธารณสุขเพราะมีมาตรการเข้มข้น การควบคุมโรคจึงอยู่ในวงจำกัด ขณะที่การแพร่เชื้อในพื้นที่จะอันตรายกว่าเชื้อนำเข้าหลายเท่าตัว ขณะรายงานข่าวก็มีการแพร่เชื้อในพื้นที่เป็นวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ
ภาพข่าวโดย: พงศ์สุคนธ์ คุณธรรมมงคล