ประเด็นว่าด้วยเรื่องของคำตัดสินศาลรัฐธรรมนูญ การล้มล้างการปกครองกลายเป็นประเด็นใหญ่ที่ตอนนี้เยาวชน คณาจารย์ ผู้รู้ มวลชนต่างออกมาแสดงความคิดเห็น ตอนนี้หลายคนอยากหาคำตอบว่าเบื้องลึกในการล้มล้างนั้นคืออะไร หลังจากนี้ทิศทางจะเป็นเช่นไร
ในการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ แนวคิดในการตัดสินคดีเรื่องนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร
เหตุผลที่ไม่ไต่สวน
และสุดท้ายศาลตัดสินและวินิจฉัยออกมาบอกว่าเป็นการล้มล้างการปกครอง และมีคำนิยามคำว่า “ล้มล้าง”
เพราะฉะนั้นคำตัดสินของศาลในเรื่องนี้แม้ว่าจะมีแรงกระเพื่อม แต่อย่างน้อยนี่คือคำวินิจฉัยและตัดสินที่มีผลผูกพันต่อทุกองค์กร หลังจากนี้ไปเราต้องมาเรียนรู้ร่วมกันว่าสังคมนี้จะเป็นเช่นไร ในหลักการระบบประชาธิปไตยมีหลักอยู่ 3 อย่าง
การกระทำการชุมนุมหรือข้อเรียกร้องต่างๆเมื่อวันที่ 10 ส.ค. ได้ทำลายหลักการทั้งสามอย่างนี้ ดังนั้นจึงเข้าข่ายการล้มล้าง
แต่อย่างไรก็ตามปฏิกิริยาของสังคมในขณะนี้ โดยเฉพาะบรรดามวลชนไม่ค่อยยอมรับ แต่อย่าลืมว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 10 พ.ย. มีการบอกกล่าวในเนื้อหาให้พิจารณากันหลายเรื่อง แต่ละเรื่องต้องใช้สติและปัญญา
สังคมคนไทยต้องมีสติร่วมกัน เสาหลักของสถาบันของประเทศจะมีแค่สามเสา เสาแรกคือ ศาล เสาหลักต่อมาคือ นิติบัญญัติ ต่อมาคือฝ่ายบริหาร ทุกเสาคือตัวค้ำยันความเป็นชาติของประเทศไทย เพราะฉะนั้นเราต้องพิจารณาเรื่องนี้กันให้ถี่ถ้วน และใช้สติมาสร้างปัญญาให้ปัญหาของประเทศคลี่คลาย
เรื่องของการล้มล้างกับการปฏิรูปมีเส้นบาง ๆ กั้นอยู่ สิ่งที่หวั่นวิตกหลังจากนี้คือ จะมีคนบางกลุ่มใช้เส้นแบ่งเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อให้เกิดความรุนแรงต่อเนื่อง สิ่งที่จะยุติสิ่งเหล่านี้ได้นั่นคือสติของทุกคน
นับตั้งแต่มีการก่อตั้งยกร่างกฎหมายจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมาพิจารณาข้อพิพาทในความคิดเห็นของหน่วยงานต่างๆ ต้องยอมรับว่า 23-24 ปี ที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญมีการวินิจฉัยที่นำไปสู่จุดเปลี่ยนทางการเมืองและจุดเปลี่ยนของประเทศไทยหลายครั้ง
คำถามคือ คำวินิจฉัยชุดนี้จะนำไปสู่จุดเปลี่ยนทางการเมืองอีกหรือไม่ ประเด็นใหญ่ใจความหลังจากนี้ไปคือศาลจบแล้ว แต่สังคมและหน่วยงาน องค์กร ความคิดเห็นของประชาชนยังไม่จบ ในระยะต้นปะทุอารมณ์ของเยาวชนทั้งหลายสังคมยังพอรับได้ เราต้องไม่ผลักไสให้เยาวชนเหล่านั้นเป็นปฏิปักษ์ของชาติ ถูกร้องทั้งสามคนที่ศาลตัดสินว่าเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง แสดงความคิดเห็นแตกต่างกันไป
รุ้งยังมีประติกิริยาชัดเจนที่เดินเข้าไปสู่จุดนั้น รุ่นพี่ที่เคยมีประสบการณ์ในการปฏิรูปและการเปลี่ยนแปลงการเมือง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ สะท้อนภาพออกไปให้น้องๆ มีสติ
ปิยบุตร แสงกนกกุล ยังคงเป็นผู้จุดไฟในนาครขึ้นมา และยังมุ่งเน้นไปที่การปิดประตูเท่ากับเป็นการผลักไสคนเหล่านั้นออกไปอีกแบบ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ โพสต์เฟซบุ๊ก
แนวคิดของคนเหล่านี้ล้วนมีนัยยะในการชี้นำแทบทั้งสิ้น พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคใหญ่อีกพรรคหนึ่งที่มีข้อกล่าวหาว่าคือเครือข่าย
เป็นสองพรรคการเมืองที่สุ่มเสี่ยงว่าหลังจากนี้ จะมีคนไปยื่น บรรดาเยาวชนทั้งหลายมีแง่มุมที่แตกต่างกัน แถลงการณ์ 23 องค์กรนิสิตนักศึกษาไม่ยอมรับคำตัดสินของศาล ยืนยันว่า 10 ข้อเรียกร้องไม่ได้เป็นการล้มล้างสถาบัน
อาจารย์เจษฎ์ เป็นนักกฎหมายไม่มีส่วนเกี่ยวข้องบอกว่า
ข้อคิดเห็นที่รวบรวมมาทั้งหมดเป็นการสะท้อนแนวคิด สะท้อนวิธีการและมองทะลุไปซึ่งปัญหา ที่ไม่ต้องการให้ปัญหานั้นเกิดขึ้น แต่อย่าลืมว่าเสาหลักต้องเดินหน้าต่อไป ไม่เช่นนั้นจะถูกโค่นทำลายและยากที่จะทำให้ชาติยังมั่นคง
ในระยะที่ผ่านมาจะเห็นเรื่องราวอยู่หนึ่งเรื่อง จุดเปลี่ยนทางการเมืองเกิดขึ้นตลอดเวลาและเสาหลักที่ทำหน้าที่ในการทำให้เปลี่ยนแปลง คือศาลรัฐธรรมนูญ
ผลพวงแห่งคดีจากคำวินิจฉัยว่าพฤติกรรมของผู้ถูกร้องสามคน และเครือข่ายนั้นเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ล่าสุดยุบพรรคอนาคตใหม่ คำถามคือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
พ.ร.ป. พรรคการเมืองว่าด้วยเรื่องของการยุบพรรค เขียนไว้ชัดเจน หลักฐานที่อยู่ในมือของศาลเป็นหลักฐานบางอย่างที่อาจจะทำให้การเดินในเรื่องคดีอาญาง่ายขึ้น เพราะศาลตัดสินไปแล้วว่านี่คือการล้มล้างปกครอง
ศาลรัฐธรรมนูญตอนนี้ได้ตัดสินและโยนเผือกนั้นออกไปจากตัวเองเรียบร้อย เกมจบแต่ไม่จบ เพราะฉะนั้นต้องดูต่อว่าหลังจากนี้ปฏิกิริยาทางด้านการเมือง สังคม มวลชนม็อบต่างๆ มีผลพวงต่อเนื่องจากศาลตั้งต้น จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมากน้อยแค่ไหน
ที่มา เนชั่นอินไซต์ บากบั่น บุญเลิศ และ วีระศักดิ์ พงษ์อักษร