svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ต่างประเทศ

สหรัฐฯคาดจีนจะมีหัวรบนิวเคลียร์ 1,000 ลูกในปี 2030

04 พฤศจิกายน 2564
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เผยแพร่รายงานประเมินว่า จีนอาจเพิ่มจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ได้เร็วกว่าที่ประเมินไว้ โดยอาจมีมากถึง 1,000 ลูกภายในปี 2030 แต่จีนออกมาตอบโต้ทันทีว่าเป็นรายงานที่มีอคติ

รายงานประเมินการพัฒนาทางทหารของจีนประจำปีที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯจัดทำเพื่อเสนอต่อสภาคองเกรส ถูกเผยแพร่เมื่อวันพุธ ระบุว่า จีนอาจมีหัวรบนิวเคลียร์มากถึง 700 ลูกภายในปี 2027 และอาจเพิ่มถึง 1,000 ลูกภายในปี 2030 ซึ่งจะเพิ่มขึ้น 2.5 เท่าจากตัวเลขที่สหรัฐฯประเมินไว้ในปีที่แล้ว

 

ก่อนหน้านี้ในรายงานฉบับปีที่แล้ว ประเมินว่า จีนมีหัวรบนิวเคลียร์เกือบ 200 ลูก และจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวภายในปี 2030

 

ขณะที่ปัจจุบันสหรัฐฯมีหัวรบนิวเคลียร์ราว 3,750 ลูก และยังไม่มีแผนเพิ่มจำนวน โดยตัวเลขดังกล่าวลดลงอย่างมากจากปี 2003 ที่เคยมีหัวรบนิวเคลียร์ทั้งหมดเกือบ 10,000 ลูก

 

 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจีนเพิ่มการลงทุนและขยายแพลตฟอร์มและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการปล่อยหัวรบนิวเคลียร์ทั้งทางบก ทะเล และอากาศ ตามเป้าหมายขยายแสนยานุภาพด้านอาวุธนิวเคลียร์

 

รายงานของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯฉบับล่าสุด ระบุด้วยว่า จีนกำลังเสริมสร้างศักยภาพในการปล่อยหัวรบนิวเคลียร์จากทั้งขีปนาวุธวิถีโค้งที่ยิงจากพื้นดิน, ขีปนาวุธที่ยิงจากอากาศ และขีปนาวุธที่ยิงขึ้นจากเรือดำน้ำ แบบเดียวกับสหรัฐฯและรัสเซีย ที่เป็นสองมหาอำนาจด้านนิวเคลียร์ในขณะนี้ แต่จีนไม่ได้พยายามสร้างศักยภาพที่สามารถยิงจู่โจมด้วยหัวรบนิวเคลียร์ต่อศัตรู แต่ต้องการเพียงป้องกันการโจมตีจากชาติอื่น

 

อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่กลาโหมสหรัฐฯ แสดงความกังวลที่จีนเพิ่มหัวรบนิวเคลียร์ได้รวดเร็วมาก จนเกิดข้อกังขาเกี่ยวกับเจตนาของจีน  และเรียกร้องให้จีนแสดงความโปร่งใสมากขึ้นเกี่ยวกับการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์

 

 

รายงานฉบับล่าสุด ยังระบุด้วยว่า จีนกำลังก่อสร้างฐานยิงขีปนาวุธใต้ดินแห่งใหม่อย่างน้อย 3 แห่งที่มีไซโลรวมกว่า 100 ไซโลสำหรับเก็บและยิงขีปนาวุธวิถีโค้งข้ามทวีป แต่ไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับที่ตั้งของทั้ง 3 แห่ง ขณะที่นักวิเคราะห์ คาดว่า อยู่ในภาคกลางตอนบนของจีน

 

แต่ล่าสุดโฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีน แถลงตอบโต้รายงานฉบับนี้ โดยบอกว่า รายงานฉบับนี้มองข้ามข้อเท็จจริงและเต็มไปด้วยอคติ รวมทั้งถูกใช้เพื่อบิดเบือนเรื่องภัยคุกคามด้านนิวเคลียร์จากจีน เนื้อหาในรายงานเป็นเพียงความเห็นที่อ้างอิงจากข่าวซุบซิบและประชาคมโลกรู้ทันเรื่องนี้ดี ขณะที่ข้อเท็จจริง คือ สหรัฐฯเป็นภัยคุกคามทางนิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก

 

 

logoline