ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความสัมพันธ์ ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ไม่มีทางที่จะเดินร่วมกันได้อีก
แต่พล.อ.ประยุทธ์ ยังต้องพึ่งเสียงส.ส.พลังประชารัฐ เป็นฐานค้ำยันเก้าอี้นายกฯ โดยเฉพาะการเปิดประชุมสภาฯ 1 พ.ย.นี้
ถามว่าจุดกำเนิดรอยร้าว ระหว่าง ร.อ.ธรรมนัส กับ พล.อ.ประยุทธ์ หนีไม่พ้นการเคลื่อนไหวเพื่อ “คว่ำ” พล.อ.ประยุทธ์ ในญัตติ “อภิปรายไม่ไว้วางใจ” และเกิดเอฟเฟคไปสู่การปลด ร.อ.ธรรมนัส พ้นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ณ ตอนนั้น คาดการณ์ว่า ร.อ.ธรรมนัส จะย้ายพรรค หรือตั้งพรรคใหม่ แต่ติดเงื่อนไขหากลาออกจากพรรค จะต้องพ้นส.ส. ทำให้ยังอยู่ต่อ และ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อาจจะรั้งเอาไว้ ไม่ผลักมิตร ไปเป็นศัตรู
การถูกปลดจากเก้าอี้รัฐมนตรี ร.อ.ธรรมนัส นับว่าเสียงรังวัดไปช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนจะเริ่มตั้งขบวนสู้ เพื่อรักษาสภานภาพภายในพรรค นัยว่าสู้เพื่อรักษาเก้าอี้เลขาธิการพรรค พร้อมๆ กับการ “เคลื่อน” อย่างมีนัย “วัดกำลัง” กับพล.อ.ประยุทธ์
การลงพื้นที่ของ พล.อ.ประวิตร ได้รับการเซ็ตโปรแกรม และเกณฑ์ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ไปต้อนรับอย่างล้นหลาม
ขณะที่การลงพื้นที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ ภาพกลับตรงกันข้ามอย่างชัดเจน นี่เองที่ทำให้กุนซือ พล.อ.ประยุทธ์ เริ่มมองบทบาท ร.อ.ธรรมนัส ว่าประกาศสู้ในทีอย่างชัดเจน
ร.อ.ธรรมนัส ภายใต้ “เงา” ของ “พี่ใหญ่” ดูเหมือนได้ใจแบบได้ลมใต้ปีกอินทรี ทำให้เริ่มเชื่อมั่นว่า เขาไม่มีทางกระเด็นตกเก้าอี้เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ แน่
ขณะที่ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะการไม่ปล่อยให้เกิดเหตุซ้ำรอยศึกซักฟอก ในช่วงเปิดสภาสมัยสามัญ วันที่ 1 พ.ย.นี้ เนื่องจากมีกฎหมายสำคัญ กฎหมายการเงิน หลายฉบับจ่อในวาระพิจารณาของสภาฯ เพราะการพ่ายแพ้เสียงโหวตกฎหมายสำคัญ หรือกฎหมายการเงิน นั้นหมายถึงชี้เป็นชี้ตาย รัฐบาลได้
การปล่อยให้ ร.อ.ธรรมนัส ยังเป็นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ คือสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ มองข้ามไปไม่ได้อีกแล้ว หากปล่อยให้ ร.อ.ธรรมนัส ยังมีบทบาทในพรรค ไม่มีอะไรรับประกันว่า ร.อ.ธรรมนัส จะไม่ “เอาคืน” เพื่อลบรอยแผการถูกปลดจากรัฐมนตรี ได้
หนทางข้างหน้า หนทางที่มั่นคงในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ของ พล.อ.ประยุทธ์ จึงต้องตัดเสี้ยนหนามออกไปจากพลังประชารัฐ ให้เร็วที่สุด
นี่จึงเป็นที่มาของการลาออกจากกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ เพื่อบีบให้มีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค วันที่ 28 ต.ค.นี้
หากมติที่ประชุมออกมาโดยที่ ร.อ.ธรรมนัส ยังเป็นเลขาธิการพรรคต่อ นั่นก็เท่ากับว่า “บีบ” ให้ พล.อ.ประยุทธ์ เลือก 2 ทาง คือ กระชับอำนาจในพรรคพลังประชารัฐ หรือเลือกที่จะเดินจากไปตั้งพรรคใหม่