ผลเลือกตั้งเยอรมนีสะท้อนหมดยุคของพรรค CDU

จากผลการนับคะแนนเบื้องต้นระบุว่า พรรคสังคมประชาธิปไตยเยอรมนี (SPD) ชนะการเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ด้วยคะแนนเสียง 25.7%  ทำให้พรรคมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2548 และเป็นการปิดฉากยุคของพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียนแห่งเยอรมนี (CDU) ภายใต้การนำของอังแกลา แมร์เคิล

ส่วนพรรค CDU และพรรคสหภาพสังคมคริสเตียนในแคว้นบาวาเรีย (CSU) มีคะแนนเสียงรวมกัน 24.1% พรรคกรีนอยู่ในอันดับ 3 ด้วยคะแนนเสียง 14.8% และพรรคประชาธิปไตยเสรี (FDP) ได้ 11.5%

โอลาฟ โชลซ์ หัวหน้าพรรค SPD ประกาศชัยชนะแล้ว โดยบอกว่า พรรคได้ฉันทามติอย่างชัดเจนให้บริหารประเทศ และคาดหวังว่าจะสามารถเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสมได้ทันก่อนถึงช่วงคริสต์มาส

แต่อาร์มิน ลาสเชต หัวหน้าพรรค CDU ยืนยันว่า เขายังมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลผสมได้แม้พรรคมีคะแนนเสียงอยู่ในอันดับ 2 ก็ตาม และแมร์เคิลจะยังคงรักษาการตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนกว่าการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสมจะเสร็จสิ้น

พรรค SPD เตรียมจัดประชุมในวันนี้เพื่อหารือเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลผสม และส่งสัญญาณว่าอาจจับมือกับพรรคกรีน และพรรค FDP และหากโชลซ์ วัย 63 ปีจัดตั้งรัฐบาลผสมได้สำเร็จ ก็จะเป็นนายกรัฐมนตรีจากพรรค SPD คนที่ 4 ของประเทศหลังจากสิ้นสุดสงครามโลก

ส่วนผลการเลือกตั้งที่ย่ำแย่ที่สุดของพรรค CDU ในรอบหลายสิบปี กลายเป็นการอำลาตำแหน่งที่ไม่สวยงามนัก สำหรับนายกรัฐมนตรีแมร์เคิล เพราะมนต์ขลังของความเป็นผู้นำหญิงเหล็กช่วง 16 ปีที่ผ่านมา ไม่สามารถแผ่บารมีไปยังผู้สืบทอดของเธอในพรรคได้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะภาพลักษณ์ของลาสเชต"ไม่คู่ควร" เพราะเขาบริหารจัดการการระบาดโควิด-19 ที่รัฐนอร์ทไรน์-เวสต์ฟาเลีย (NRW) ซึ่งเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมที่มีจำนวนประชากรสูงสุดของประเทศได้อย่างย่ำแย่ อีกทั้งเมื่่อเดือนกันยายนเขายังถูกจับภาพได้ว่ากำลังหัวเราะตอนที่ประธานาธิบดีขึ้นกล่าวไว้อาลัยในเมืองที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมอย่างหนัก จนคะแนนนิยมร่วงเหลือแค่ 20%

ขณะที่โชลซ์ ที่อยู่ต่างพรรคกับแมร์เคิลกลับดูเป็นทายาทตัวจริงของเธอมากกว่า เพราะเขาคือผู้ที่ดำเนินรอยตามและสืบทอดอุดมการณ์ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคลังในรัฐบาลของแมร์เคิล ทำให้ชาวเยอรมันเทความไว้วางใจให้เขาสูงกว่าคู่แข่งคนอื่นๆ