13 กันยายน 2564 นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม พร้อมด้วยนายจำรัส (สงวนนามสกุล) อดีตผู้ต้องขังคดีฆ่าคนตายซึ่งเคยถูกควบคุมตัวไว้ที่เรือนจำจังหวัดชลบุรีตั้งแต่ปี 2551 จนถึงเดือนเมษายน 2564 ที่เพิ่งพ้นโทษมา
พร้อมหลักฐานการโอนเงินข้อความแชทพูดคุยต่อรองเรียกรับผลประโยชน์ เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบหรือ บก.ปปป.
ในช่วงระหว่างที่ถูกควบคุมตัวไว้ภายในเรือนจำดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นายหนึ่งชื่อนายสารวัตร (นามสมมติ) อ้างว่าสามารถเลื่อนชั้นหรือลดชั้นและได้สิทธิ์การอภัยโทษ ลดจำนวนการจำคุกได้โดยต้องจ่ายเงินให้เป็นค่าตอบแทนครั้งละหลักหมื่นบาทถึงแสนบาท โดยอ้างว่าจะต้องนำไปจ่ายให้กับเรือนจำ กรมราชทัณฑ์ และคณะกรรมการพิจารณา
โดยนายจำรัสยินยอมจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้หลายครั้งรวมมูลค่ามากกว่า 2 ล้านบาท โดยมีทั้งที่จ่ายเป็นเงินสดและที่เป็นการโอนเงินจากญาติมาให้อีก 5 ครั้ง ในระหว่างการถูกคุมขังอยู่นั้น ถูกเลื่อนชั้นและลดชั้นอยู่บ่อยครั้ง โดยสอดคล้องกับการจ่ายเงินในแต่ละครั้ง หากไม่ยอมจ่ายให้ก็จะถูกลดชั้น โดยอ้างว่าทำเรื่องไม่ถูกต้องหรือไม่เข้าเกณฑ์ตามระเบียบ
หากจ่ายให้ตามที่ต้องการก็จะได้รับการเลื่อนชั้นหรืออภัยโทษพัก โดยมีผู้ต้องขังที่ต้องจ่ายเงินให้กับเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นายดังกล่าวหลายคน โดยบางคนที่ยอมจ่ายเงินให้ตามที่เรียกรับก็ได้รับการพ้นโทษเร็วกว่า
โดยนายจำรัสมีโทษจำคุก 23 ปี 4 เดือน แต่จำคุกจริงเพียงแค่ 5 ปี แต่ผู้ต้องขังรายอื่นที่จ่ายเงินให้กับพ้นโทษได้เร็วกว่าตัวเองทั้งที่โทษจำคุกมากกว่าในระหว่างที่ตัวเองต้องโทษอยู่ภายในเรือนจำได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังผู้บัญชาการเรือนจำดังกล่าวให้ตรวจสอบแล้วแต่เรื่องก็เงียบหายไป จนกระทั่งได้ทำเรื่องไปถึงปลัดกระทรวงยุติธรรมซึ่งทางกระทรวงได้รับเรื่องแล้วแต่เรื่องก็เงียบหายไปอีก
ทั้งที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นายดังกล่าวก็รับสารภาพในขั้นตอนการสอบสวน จึงเข้าร้องเรียนกับนายอัจฉริยะและเข้าแจ้งความกับให้ช่วยตรวจสอบเรื่องดังกล่าว เพราะคิดว่ากระบวนการที่เกิดขึ้นไม่ได้มีเพียงแค่คนเดียวและอาจมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงในระดับเรือนจำและกระทรวงเกี่ยวข้องอีกเป็นจำนวนมาก อีกครั้งเรื่องดังกล่าวยังทำให้กระบวนการลงโทษผู้กระทำความผิดไม่ได้ผลและทำให้เกิดผู้กระทำความผิดออกมาก่อเหตุซ้ำเป็นจำนวนมาก
เบื้องต้นพนักงานสอบสวน บก.ปปป.จะรับเรื่องร้องเรียนดังกล่าวไว้พิจารณาและเสนอให้ผู้บังคับการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงหากพบว่ามีความผิดจริงก็จะเลือกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาสอบปากคำเพิ่มเติม และจะเสนอไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้มูลความผิดตามขั้นตอนต่อไป